ประเมิน 4 ปีของไทยภายใต้ คสช.

วันที่ 22 พฤษภาคม 2561 จะเป็นวันครบรอบ 4 ปีของการยึดอำนาจการปกครองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สำนักข่าวสับปะรดจึงขอประเมินการยึดอำนาจของคสช.ในรอบ 4 ปีว่าจะเป็นสับปะรดหรือไม่? และเพื่อให้เป็นการประเมินที่ปราศจากอคติ จึงจะใช้ดัชนีต่างๆซึ่งองค์กรระหว่างประเทศเป็นผู้จัดทำมาใช้เป็น เกณฑ์ในการประเมินครั้งนี้

คอรัปชั่นยังหนัก

เริ่มที่เรื่องการคอรัปชั่นซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศและเป็นหนึ่งในเหตุผลที่คสช.ตัดสินใจยึดอำนาจการ ปกครอง ในปี 2557 ประเทศไทยได้คะแนนดัชนีภาพลักษณ์คอรัปชั่น 38 คะแนน โปร่งใสเป็นอันดับที่ 85 ของโลก เมื่อครบ 4 ปีของการยึดอำนาจ คะแนนดัชนีภาพลักษณ์คอรัปชั่นลดลงเหลือ 37 คะแนน โปร่งใสเป็น อันดับที่ 96 ของโลก

แม้ว่าในปัจจุบันจะมีข่าวการจับคนโกงมากขึ้นในสังคมไทย แต่หากพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าจุดเริ่มต้นของการ ขุดคุ้ยเรื่องคอรัปชั่นเหล่านั้นล้วนมีจุดเริ่มต้นมาจากชาวบ้านและคนทั่วไปทั้งสิ้น มิหนำซ้ำบางเรื่องโดนแฉโดย นักศึกษาฝึกงานเสียด้วยซ้ำไป เมื่อเรื่องแดงขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปราบคอรัปชั่นจึงจะเริ่มขยับเข้ามา ตรวจสอบ ส่วนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวงในของคสช. เช่นเรื่องนาฬิกาที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณอ้างว่ายืมเพื่อน มาและสังคมให้ความสนใจเป็นอย่างมากนั้น คสช.กลับลอยตัว อ้างว่าเป็นหน้าที่ขององค์กรตามกฎหมาย ซึ่งสุดท้ายเรื่องนี้ก็ดูเหมือนว่าจะจบลงแบบค้านความรู้สึกคนทั้งประเทศ เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสาเหตุทำให้ คะแนนดัชนีภาพลักษณ์คอรัปชั่นของไทยแย่ลงทั้งสิ้น

ขณะที่ประเทศไทยยังจมปลักอยู่กับปัญหาคอรัปชั่น แต่กลับมีอยู่อย่างน้อย 11 ประเทศในโลกซึ่งเดิมเคยได้ คะแนนดัชนีภาพลักษณ์ขององค์กรความโปร่งใสนานาชาติน้อยกว่าประเทศไทย แต่ปัจจุบันประเทศเหล่า นั้นกลับมีความโปร่งใสดีกว่าประเทศไทยไปแล้ว ประเทศเหล่านั้นได้แก่ กรีซ เซเนกัล เบลารุส อินเดีย อาร์เจนตินา เบนิน โคโซโว แอลเบเนีย กายอานา ติมอร์ เลสเต แอลเบเนีย

ประเทศที่ดูแล้วน่าจะคอรัปชั่นมากกว่าไทยยังสามารถแก้ปัญหาคอรัปชั่นกันได้แล้ว สะท้อนว่าขณะที่มีอำนาจ เต็มในการบริหารประเทศมาถึง 4 ปี คสช.ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องคอรัปชั่นให้ประชาชนได้เห็นอย่าง เป็นรูปธรรมชัดเจน

สรุปได้ว่าการปราบคอรัปชั่นของคสช. ไม่เป็นสับปะรด

เสรีภาพสื่อมวลชนลด

เสรีภาพซึ่งถ้ามีมากสื่อมวลชนก็ย่อมจะสามารถช่วยแฉและขุดคุ้ยเรื่องคอรัปชั่นได้มากเช่นกัน ประเทศที่มีความ โปร่งใสติดอันดับโลกเกือบทั้งหมดล้วนแต่เป็นประเทศที่สื่อมวลชนมีเสรีภาพที่จะขุดคุ้ยการทุจริตคอรัปชั่น ทั้งสิ้น เมื่อคสช.ยึดอำนาจสื่อมวลชนไทยมีเสรีภาพอันดับที่ 130 ของโลก วันนี้อันดับดังกล่าวร่วงลงไปอยู่ อันดับที่ 142 ของโลก ซึ่งนั่นหมายถึง 4 ปีที่ผ่านมารัฐบาลคสช.ทำให้สื่อมวลชนไทยมีเสรีภาพที่จะรายงานข่าว ลดลง แถมพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชายังถูกองค์กรนักข่าวไร้พรมแดนจัดให้เป็น “ผู้นำที่ไล่ล่าเสรีภาพของสื่อ” เคียงข้างกับคิมจองอึนผู้นำเกาหลีเหนือ สีจิ้นผิงผู้นำจีนและวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย เลยทีเดียว

สรุปได้ว่า เสรีภาพของสื่อมวลชนลดลงในยุคคสช.

เศรษฐกิจไทยโตเฉลี่ยปีละ 2.7 เปอร์เซ็นต์

อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในปีที่คสช.เข้ายึดอำนาจนั้น เศรษฐกิจไทยขยายตัวเพียง 0.9 เปอร์เซ็นต์ หลังจากนั้นเศรษฐกิจไทยก็ค่อยๆขยายตัวอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 4 ปีของคสช. ปีพ.ศ. 2558 เศรษฐกิจ ไทยขยายตัว 2.9 เปอร์เซ็นต์ ปีพ.ศ. 2559 เศรษฐกิจไทยขยายตัว 3.2 เปอร์เซ็นต์ ปีพ.ศ. 2560 เศรษฐกิจไทย ขยายตัว 3.7 เปอร์เซ็นต์และคาดการณ์ว่าปีหน้าพ.ศ. 2561 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเกิน 4 เปอร์เซ็นต์

สรุปว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจเฉลี่ยในช่วง 4 ปีของคสช. เศรษฐกิจไทยโตเพียง 2.7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ยังห่างไกลจากอัตราการขยายตัวเฉลี่ย 4 ปีก่อนหน้าที่คสช.จะยึดอำนาจ พ.ศ. 2553 - พ.ศ. 2556 ซึ่งเศรษฐกิจไทย ขยายตัวเฉลี่ยปีละ 4.6 เปอร์เซ็นต์ และยังต่ำกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ในรอบ 20 ปีระหว่างปีพ.ศ. 2534 ถึงปีพ.ศ. 2553 ที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวเฉลี่ยปีละ 4.5 เปอร์เซ็นต์

สรุปว่าเศรษฐกิจไทยยังโตน้อยกว่าในอดีตมาก การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลคสช.ยังไม่เป็นสับปะรด

ความง่ายในการเริ่มต้นทำธุรกิจดีขึ้นจริงหรือ?

ปลายปีพ.ศ. 2560 รัฐบาลคสช.ประกาศว่า “ความง่ายในการเริ่มต้นทำธุรกิจ” ของไทยปรับตัวดีขึ้นถึง 20 อันดับ พุ่งขึ้นจากอันดับที่ 46 มาอยู่อันดับที่ 26 ของโลก

ความจริงก็คือไทยเรามี “ความง่ายในการเริ่มต้นทำธุรกิจ” อยู่ในอันดับต่ำกว่าอันดับที่ 20 ของโลกมาเป็นเวลา อย่างน้อย 5 ปีก่อนคสช.จะยึดอำนาจ หลังจากนั้นความง่ายในการเริ่มต้นทำธุรกิจของไทยก็ร่วงลงไปสู่อันดับที่ 49 และ 46 ในปีพ.ศ. 2559 และพ.ศ. 2560 สะท้อนชัดเจนว่า 4 ปีของรัฐบาลคสช.นั้นยังไม่สามารถทำให้ “ความง่ายในการเริ่มต้นทำธุรกิจ” ของไทยดีขึ้นกลับไปอยู่ในอันดับที่ต่ำกว่า 20 เหมือนเดิมได้

สรุปว่าความง่ายในการเริ่มต้นทำธุรกิจในไทยในสมัยคสช.ยังแย่กว่าก่อนมีการยึดอำนาจ

ความสามารถในการแข่งขันยังไม่ดีขึ้น

ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ วัดโดย World Economic Forum ในช่วง 4 ปีของคสช. ไทยมีความ สามารถในการแข่งขันลดลงจากอันดับที่ 31 ของโลกไปอยู่อันดับที่ 32 ซึ่งดูผิวเผินก็เหมือนว่าจะไม่มีอะไร เปลี่ยนแปลงมากนัก  แต่เมื่อเปรียบเทียบย้อนหลังไปถึงปีพ.ศ. 2550 - พ.ศ. 2551 ซึ่งไทยมีความสามารถในการ แข่งขันอยู่ในอันดับที่ 28 ของโลกแล้วจะเห็นได้ว่า คสช.ยังไม่สามารถยกระดับความสามารถในการแข่งขันของ ประเทศให้กลับไปเก่งเหมือนเดิมได้

สอดคล้องกับดัชนีนวัตกรรมโลก ( Global Innovation Index) ของไทย ในช่วง 4 ปีของคสช.ที่ลดลงจากอันดับที่ 48 ของโลกไปอยู่อันดับที่ 51 ตามหลังสิงคโปร์ มาเลเซียและเวียดนาม ซึ่งได้อันดับที่ 7  37 และ 47 ตามลำดับ ขณะที่ความสามารถในการแข่งขัน ด้านดิจิทัลของไทย ( IMD World Digital Competiveness Ranking) ปรับตัว ดีขึ้นจากอันดับที่ 44 มาอยู่อันดับที่ 41 ของโลก ดีกว่าฟิลิปปินส์ อันดับ ที่ 46 และอินโดนีเซียอันดับที่ 59 แต่ยัง ตามหลังอันดับ 1 ของโลกเช่นสิงคโปร์และมาเลเซียซึ่งได้อันดับที่ 24

สรุปว่าความสามารถในการแข่งขันของไทยยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่

กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย

การวัดการบังคับใช้กฎหมายในประเทศต่างๆทั่วโลกของ World Justice Project ชี้ให้เห็นว่าในปีพ.ศ. 2557 ปีแรกที่คสช.เข้ายึดอำนาจ ประเทศไทยบังคับใช้กฎหมายได้เป็นอันดับที่ 47 ของโลก หลังจากนั้นการบังคับ ใช้กฎหมายในไทยแย่ลง ตกลงไปสู่อันดับที่ 56 ในปีพ.ศ. 2558 และอันดับที่ 64 ในปีพ.ศ. 2559 ก่อนจะร่วงลง ต่อเนื่องอีกไปสู่อันดับที่ 71 ในปีพ.ศ. 2560 จากทั้งหมด 113 ประเทศที่ถูกจัดอันดับ

สรุปว่าการบังคับใช้กฎหมายในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาแย่ลงถึง 24 อันดับ กฎหมายยังไม่เป็นกฎหมายแม้จะเป็น คสช.

ความสุขคนไทยลดฮวบ

ความสุขของคนไทยซึ่งวัดและเปรียบเทียบกับความสุขของคนในประเทศต่างๆโดยองค์การสหประชาชาติ ในช่วงปีพ.ศ. 2555 ถึง 2557 คนไทยมีความสุขเป็นอันดับที่ 34 ของโลก หลังจากนั้นคนไทยมีความสุขมากขึ้น เป็นอันดับที่ 33 และอันดับที่ 32 ของโลกในปีพ.ศ. 2558 และปีพ.ศ. 2559 ก่อนที่ความสุขของคนไทยจะลด ฮวบลงไปอยู่อันดับที่ 46 ของโลกในปีพ.ศ. 2560 ปล่อยให้คนมาเลเซียซึ่งในช่วงปีพ.ศ. 2555 ถึง 2557 เคยมีความสุขน้อยกว่าคนไทยอย่างมากคือมีความสุขเป็นอันดับที่ 61 ของโลก มีความสุขมากกว่าคนไทย แซงไปอยู่ที่อันดับ 35 ได้สำเร็จ

สรุปว่า 4 ปีของคสช. คนไทยมีความสุขลดลง

บทสรุป

4 ปีหลังการยึดอำนาจของคสช. การคอรัปชั่นก็ยังมีอยู่มาก กฎหมายยังไม่เป็นกฎหมาย สื่อมวลชนมีเสรีภาพลดลง ความสามารถในการแข่งขันของประเทศยังไม่ดีขึ้น อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจก็ยังต่ำอยู่มาก คนไทยมีความสุขน้อยลง

สรุปว่า คสช.ยึดอำนาจเป็นแต่บริหารประเทศไม่เป็นสับปะรด

………………………..

คอลัมน์ : เขียนให้คิด

โดย "เกษมสันต์ วีระกุล"


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment