{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้า 25 สิงหาคม 2568ที่ระดับ 32.43 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นมาก”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.64 บาทต่อดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องและมีจังหวะแข็งค่าขึ้นเข้าใกล้โซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.41-32.67 บาทต่อดอลลาร์) ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งมาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นแรงของราคาทองคำ หลังผู้เล่นในตลาดต่างตีความถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ในงาน Jackson Hole Symposium ว่าอาจเป็นการส่งสัญญาณว่าประธานเฟดพร้อมสนับสนุนการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม FOMC เดือนกันยายน ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดต่างปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินโอกาสราว 17% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ และมั่นใจว่า เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า (ตลาดเริ่มให้โอกาสราว 7% ที่เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ 4 ครั้ง ในปีหน้า)
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังรับรู้ถ้อยแถลงของประธานเฟดในงาน Jackson Hole Symposium กดดันให้เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงท้ายสัปดาห์
สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากฝั่งสหรัฐฯ พร้อมรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรอลุ้นการวินิจฉัยคดีคลิปเสียงนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร โดยศาลรัฐธรรมนูญ
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE เดือนกรกฎาคม รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) ในเดือนสิงหาคม และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ซึ่งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดได้ โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 17% ที่จะลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ และมั่นใจว่า เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า (ตลาดเริ่มให้โอกาสราว 7% ที่เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ 4 ครั้ง ในปีหน้า) และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยมีไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ รายงานผลประกอบการของ Nvidia ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศตลาดการเงินและการเคลื่อนไหวของหุ้นธีม AI/Semiconductor ได้อย่างมีนัยสำคัญ
▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) เดือนสิงหาคม และอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ (Inflation Expectations) ของยูโรโซน โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า ECB มีโอกาสราว 36% ที่จะลดดอกเบี้ยอีก 25bps 1 ครั้ง ในปีนี้
▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่นและทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของพื้นที่กรุงโตเกียว ในเดือนสิงหาคม รวมถึงยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือนกรกฎาคม โดยล่าสุด บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า BOJ มีโอกาสราว 70% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 25bps อีก 1 ครั้ง ในปีนี้ ส่วนในฝั่งธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) นั้น บรรดานักวิเคราะห์ประเมินว่า BOK อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.50% ขณะที่ ทางฝั่งธนาคารฟิลิปปินส์ (BSP) นักวิเคราะห์มองว่า BSP อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม 25bps สู่ระดับ 5.00% ตามแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อ
▪ ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการพิจารณาคดีนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร โดยศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 29 สิงหาคม นี้ ซึ่งอาจสร้างนำไปสู่ความวุ่นวายของการเมืองไทยในระยะสั้น โดยเฉพาะในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นนายกฯ ของนายกฯ แพทองธาร สิ้นสุดลง เนื่องจากจะต้องมีการลงคะแนนเสียงเลือกนายกฯ คนใหม่ พร้อมกันนั้นก็มีความเสี่ยงที่อาจเกิดการยุบสภาและการเลือกตั้งใหม่ได้ โดยเรามองว่ามีโอกาสราว 60% ที่พรรคเพื่อไทยยังสามารถรวบรวมเสียงจากบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อสนับสนุนแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย (คุณชัยเกษม นิติสิริ) เป็นนายกฯ คนถัดไป และมีโอกาสราว 25% ที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจกลับมาเป็นนายกฯ ส่วนอีก 15% นั้น เราประเมินเป็นโอกาสที่จะเกิดการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดการส่งออกและนำเข้า รวมถึงรายงานดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index) ในเดือนกรกฎาคม
สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทได้มีกำลังมากขึ้น ตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังผู้เล่นในตลาดตีความถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ว่าอาจมีการส่งสัญญาณพร้อมสนับสนุนการลดดอกเบี้ยของเฟด (โดยเฉพาะในการประชุม FOMC เดือนกันยายน) อย่างไรก็ดี เรากลับมองว่า ถ้อยแถลงของประธานเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณชี้ชัดต่อการลดดอกเบี้ยอย่างที่ตลาดประเมินและตัวแปรสำคัญยังคงอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง การจ้างงานเดือนสิงหาคม ซึ่งจะรับรู้ในวันศุกร์ที่ 5 กันยายน ทำให้เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way risk (เคลื่อนไหวได้ทั้งด้านอ่อนค่าและแข็งค่า) ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดซึ่งจะขึ้นกับ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด นับจากวันนี้ จนเข้าใกล้การประชุม FOMC เดือนกันยายน (รับรู้วันที่ 18 กันยายน ตามเวลาประเทศไทย)
นอกเหนือจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด เรายังคงมองว่า การเคลื่อนไหวของทั้งเงินหยวนจีน (CNY) และราคาทองคำ จะเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลต่อเงินบาทพอสมควร เนื่องจากในช่วงนี้ ทั้งสองสินทรัพย์ได้เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทมาก นอกจากนี้ ควรติดตามสถานการณ์การเมืองไทย ที่อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงิน โดยความวุ่นวายของการเมืองไทย หลังรับรู้ผลการวินิจฉัยคดีคลิปเสียงนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร โดยศาลรัฐธรรมนูญ อาจกระทบต่อฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติและสร้างความผันผวนให้กับเงินบาทได้ อนึ่ง ในกรณีที่เงินบาทอ่อนค่าลงนั้น เราประเมินว่า การอ่อนค่าของเงินบาท (USDTHB) ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทมีการอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป 32.65-32.70)
อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน (หรืออ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน)
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสรีบาวด์ขึ้นบ้าง หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ในกรณีที่ รายงายข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาสดใสและอัตราเงินเฟ้อ PCE ปรับตัวสูงขึ้นกว่าคาด
เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.00-32.75 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.50 บาท/ดอลลาร์
พูน พานิชพิบูลย์
นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน
Krungthai GLOBAL MARKETS
ธนาคารกรุงไทย
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS