ค่าเงินบาทเปิดเช้า 14 สิงหาคม 2568 ที่ระดับ 32.27 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง”

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้า 14 สิงหาคม 2568 ที่ระดับ 32.27 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันที่ผ่านมา

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ในลักษณะ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.23-32.33 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวไร้ทิศทางเช่นกันของทั้งเงินดอลลาร์และราคาทองคำ อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย ซึ่งมีมติเป็นเอกฉันท์ “ลดดอกเบี้ย 0.25%” สู่ระดับ 1.50% ตามที่ตลาดคาด จะเห็นได้ว่า เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง แม้มติดังกล่าวของ กนง. จะมีส่วนหนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้น ทว่า บรรดานักลงทุนต่างชาติต่างขายหุ้นไทยออกมา คิดเป็นการขายสุทธิราว 6.7 พันล้านบาท สะท้อนว่า ผลการประชุม กนง. ดังกล่าวไม่ได้มีผลต่อการเคลื่อนไหวของเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ ปัจจัยหลักหนุนการแข็งค่าของเงินบาท คือ การทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดบ้าง ซึ่งบางส่วนก็เริ่มคาดหวังว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน นี้ อนึ่ง การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทยังคงเป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจรอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ในจังหวะย่อตัว นอกจากนี้ เรามองว่า การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้ (นับตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงราว -10%) อาจทำให้มีโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับน้ำมันดิบ อาทิ Buy on Dip น้ำมันดิบ เข้ามาช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท

บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากความหวังว่า เฟดอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยตั้งแต่การประชุม FOMC เดือนกันยายน และมีโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ราว 2-3 ครั้ง ในปีนี้ ส่งผลให้ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.32%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.54% หนุนโดยความหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด รวมถึง ความหวังต่อแนวโน้มการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่จะมีสหรัฐฯ เป็นตัวกลางในการช่วยเจรจา นอกจากนี้ รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนฝั่งยุโรปส่วนใหญ่ที่ออกมาสดใส ยังคงเป็นปัจจัยที่หนุนบรรยากาศตลาดหุ้นยุโรป

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลง เข้าใกล้โซน 4.23% ตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็เริ่มมองว่า เฟดอาจจำเป็นต้องลดดอกเบี้ย 50bps ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน อนึ่ง เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดได้คาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปพอสมควร ทำให้ควรระวังความเสี่ยงที่ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หรือบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง โดยเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจากเราคงคาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ตามการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด (คาดว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยจนถึงระดับ 3.00-3.25%)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้จะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ทว่า การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ก็เป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม อาทิ ดัชนีราคาผู้ผลิต PPI รวมถึง รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของสหรัฐฯ ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวระดับ 97.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.6-97.9 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะทยอยปรับตัวลดลงบ้าง ตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ทว่า บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ของตลาดการเงินสหรัฐฯ ได้จำกัดการปรับตัวขึ้นราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ทำให้ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถว โซน 3,410-3,420 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งจะช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ PCE ที่เฟดติดตามได้ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) เพื่อประเมินภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ล่าสุดผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 จากทั้งอังกฤษและยูโรโซน พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม พัฒนาการของแนวโน้มการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน

และในฝั่งเอเชีย ช่วงราว 6.50 น. ของเช้าวันศุกร์ 15 สิงหาคม นี้ ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่น ผ่านรายงานอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทยังมีกำลังอยู่ในช่วงนี้ ทว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด ตราบใดที่ ผู้เล่นในตลาดไม่ได้ปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเราประเมินว่า จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจและปัจจัยในระยะสั้นนี้ อาจยังไม่สามารถทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างมีนัยสำคัญได้ โดยเราคาดว่า ผู้เล่นในตลาดอาจต้องการรอติดตามถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ในงานสัมนาวิชาการประจำปีของเฟด ที่เมือง Jackson Hole, Wyoming รวมถึงรอลุ้น รายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม ซึ่งจะรับรู้ในช่วงต้นเดือนกันยายน ทำให้ในระยะสั้นนี้ เรามองว่า แม้เงินบาทจะมีความเสี่ยง Two-way risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง) แต่เราอาจมองว่า เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลงได้บ้าง ในกรณีที่ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งต้องรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่เกี่ยวกับด้านเงินเฟ้อ อย่าง ดัชนีราคาผู้ผลิต PPI รวมถึง อัตราเงินเฟ้อ PCE และ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) ที่จะรับรู้ก่อนข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี หากเงินบาทอ่อนค่าลงบ้าง การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดและมีแนวโน้มจะติดแถวโซนแนวต้านตั้งแต่โซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ จนถึงโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าผู้เล่นในตลาดจะปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งต้องลุ้นข้อมูลการจ้างงานใหม่ของสหรัฐฯ หรือเงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม จากปัญหาความวุ่นวายการเมืองในประเทศ (ซึ่งเรามองว่า โอกาสเกิดภาพดังกล่าวก็มีไม่มากนัก)

ทั้งนี้ เรามองว่า ควรจับตาทิศทางการเคลื่อนไหวของทั้งราคาทองคำและสกุลเงินเอเชีย อย่าง เงินหยวน (CNY) เนื่องจากทั้งสองสินทรัพย์ เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทในระดับสูงพอสมควร (High correlation) โดยในฝั่งของราคาทองคำนั้น อาจพอประเมินได้ว่า ถ้าการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ถูกจำกัดไว้แถวโซนแนวต้าน เช่น โซน 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ การแข็งค่าของเงินบาทก็จะเป็นไปอย่างจำกัดได้

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.15-32.40 บาท/ดอลลาร์ ]

พูน พานิชพิบูลย์

นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน

Krungthai GLOBAL MARKETS

ธนาคารกรุงไทย


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment