ทางรอดประเทศไทย (จบ)

Amazing AEC กับเกษมสันต์

หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับวันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2562

ตอน ทางรอดประเทศไทย (จบ)

ตอนที่แล้วผมบอกว่าทางรอดของไทยข้อแรกก็คือเราต้องยอมรับความจริงว่าการที่เศรษฐกิจไทยไม่เติบโตนั้นเป็นปัญหาโครงสร้างซึ่งเกิดจาการที่ไทยเราไม่มียุทธศาสตร์ และข้อที่สองคือเราจะต้องเร่งแก้ไขคอรัปชั่นให้ได้ โดยเราต้องยอมรับความจริงด้วยว่ากระบวนการแก้ไข องค์กรอิสระที่ทำงานอยู่และความตั้งใจจริงของทุกรัฐบาลที่ผ่านมายังไม่ดีพอที่จะแก้ไขปัญหาคอรัปชั่น

เกาหลีใต้ซึ่งเป็นสังคมอุปถัมภ์และมีการคอรัปชั่นมีการบูรณาการระหว่างรัฐบาล ข้าราชการ นักการเมืองและนักธุรกิจเหมือนไทย สามารถปราบคอรัปชั่นได้สำเร็จก็เพราะผู้นำเขามีความตั้งใจจริง ปฏิรูปองค์กรปราบคอรัปชั่น เน้นการปราบก่อนการป้องกัน และที่สำคัญที่สุดเขารู้ดีว่าการเปิดโอกาสให้ประชาชน สื่อมวลชนเข้าถึงข้อมูลของภาครัฐ เป็นส่วนสำคัญทำให้ปราบคอรัปชั่นสำเร็จได้

หัวใจของการปราบคอรัปชั่นก็คือการมีระบบตรวจสอบและถ่วงดุล หรือ Check and Balance ที่มีประสิทธิภาพ ถ้าภาครัฐทุกหน่วย งานรวมถึงองค์กรอิสระและเรกูเลเตอร์ต่างๆของไทยสามารถถูกตรวจสอบและถ่วงดุลได้ ถ้าประชาชนสื่อมวลชนสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆได้ง่าย ทุกหน่วยงานก็จะถูกตรวจสอบได้ง่ายและตลอดเวลา โดยเฉพาะหน่วยงานและองค์กรอิสระที่มีหน้าที่ปราบคอรัปชั่นจะต้องโดนตรวจสอบและถ่วงดุลก่อนคนอื่นๆ เช่นเดียวกับประเทศที่มีคอรัปชั่นน้อยกว่าไทยเรา

เรื่องที่สามก็คือคุณภาพของคน ความจริงที่น่าตกใจก็คือปัจจุบันคุณภาพของนักเรียนไทยนั้นยังสู้ประเทศอื่นๆไม่ได้และนับวันจะแพ้เขามากขึ้นเรื่อยๆ ผลการทดสอบของ Programme for International Student Assessment (PISA) ซึ่งเพิ่งประกาศออกมาเมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เด็กไทยสอบตกหมดทั้งสามวิชาคือการอ่านเพื่อความเข้าใจ วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นสามวิชาสำคัญเพื่อการเป็นผู้ชนะในอนาคต โดยเฉพาะการอ่านเพื่อการทำความเข้าใจนั้น PISA ถึงกับระบุในการประกาศผลเลยว่าความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจของเด็กไทยนั้นอยู่ในข่ายลดลงในอัตราที่เพิ่มขึ้น สะท้อนความล้มเหลวของการจัดการศึกษาของไทยอย่างชัดเจน จำเป็นต้องปฏิรูปโดยเร่งด่วนที่สุด โดยต้องปฏิรูปทั้งคุณภาพที่ตกต่ำและความเหลื่อมล้ำของคุณภาพการศึกษาไปพร้อมๆกัน

อีกเรื่องที่สำคัญมากและต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนก็คือความเป็นไทยที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ใจกว้าง มีน้ำใจ มีอัธยาศัยไมตรี ยืดหยุ่น อยู่ร่วมกันได้ไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติใดสัญชาติใด ซึ่งเคยเป็นเสน่ห์สำคัญที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยและเมืองไทย บัดนี้หายไปหมดแล้ว คนไทยเราทุกวันนี้ใจแคบใจร้อนหัวร้อน น้ำใจไมตรีหาได้ยากขึ้นมาก เรารังเกียจคนต่างชาติต่างศาสนาต่างความคิดและกล้าแสดงออกถึงความเกลียดชังนั้นอย่างเต็มที่ในรูปของ Hate Speech โดยเฉพาะบนสื่อสังคมออนไลน์โดยไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ผิด

เรื่องที่สี่คือภาครัฐ องค์กรอิสระและเรกูเลเตอร์ทั้งหมดจะต้องถูกปฏิรูปอย่างรุนแรงและเร่งด่วนที่สุด ไทยเราที่ติดกับดักประเทศรายได้ปานกลางและเกิดปัญหาสารพันจนโลกให้ฉายา “คนป่วยรายใหม่ของเอเชีย” กับเรานั้นก็เพราะภาครัฐของไทยล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพและคอรัปชั่น การที่ประเทศไม่มียุทธศาสตร์ การคอรัปชั่นและความเหลื่อมล้ำสูงขณะที่คุณภาพคนคุณภาพการศึกษาคุณธรรมและความสามารถในการแข่งขันต่ำ การที่ไทยกำลังจะถูกมาเลเซีย ฟิลิปปินส์และเวียดนามแซงนั้นเป็นผลมาจากการที่ภาครัฐของไทยล้มเหลวนั่นเอง

เรื่องที่ห้าก็คือ ทั้งสี่เรื่องข้างต้นนั้นจะต้องถูกแก้ถูกปฏิรูปพร้อมๆกันอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยคนและภาคส่วนอื่นๆในสังคมไทยที่ยังไม่เคยมีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศ เราเคยเอาเศรษฐีเข้ามามีส่วนร่วมผลก็คือเศรษฐีรวยขึ้น เราเคยเอาตัวแทนธุรกิจขนาดใหญ่เข้ามามีส่วนร่วมผลก็คือธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีตัวแทนเข้าร่วมเติบโตขึ้น เราเคยเอานักการเมือง ข้าราชการ ทหาร นักวิชาการเข้ามาปฏิรูป ผลก็คือคนที่มีส่วนร่วมดีขึ้นรวยขึ้น การปฏิรูปครั้งต่อไปจะต้องเป็นการปฏิรูปที่คนไทยทุกคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงและเท่าเทียม โดยเฉพาะคนไทยที่เป็นคนส่วนมากของประเทศ เช่นเกษตรกร SMEs คนชั้นกลาง คนยากคนจน คนเหล่านี้จะได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและรวยขึ้นบ้าง

ที่สำคัญกระบวนการปฏิรูปคราวนี้จะต้องถูกตรวจสอบและถ่วงดุลกันตั้งแต่นาทีแรกจนถึงนาทีสุดท้าย เพื่อให้มั่นใจว่าจะเป็นการปฏิรูปเพื่อคนทั้งประเทศอย่างแท้จริง


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment