{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ หรือ STI ปรับรอบระยะเวลาบัญชี เป็นเริ่มต้น 1 ต.ค. – 30 ก.ย.ของทุกปี โชว์ฟอร์มดี เปิดรายได้ปี 2566 มีรายได้จากการให้บริการ 1,746 ล้านบาท กำไร 133 ล้านบาท มองภาพรวมเติบโตต่อเนื่อง บอร์ดบริษัท ไฟเขียวจ่ายปันผลเป็นเงินสดให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท กำหนดจ่าย 23 ก.พ. 67
นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของปี 2566 ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างแข็งแกร่ง เดินหน้ารับงานตุนพอร์ตในมืออย่างต่อเนื่อง ทั้งจากงานโปรเจกต์ภาครัฐและเอกชน งานโครงสร้างพื้นฐาน งานโรงพยาบาลต่างๆ ที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญในหลายกลุ่มธุรกิจ โดยมีการใช้ระบบฐานข้อมูลงานออกแบบและงานก่อสร้าง (BIG DATA) และมีทีมวิศวกรที่มีความเชี่ยวชาญในการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 กลุ่ม STI มีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 3,800 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีมติอนุมัติเปลี่ยนแปลงรอบระยะเวลาบัญชีจากเดิมเริ่มต้นในวันที่ 1 มกราคม และสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปี เป็นเริ่มต้นในวันที่ 1 ตุลาคม และสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายนของทุกปี โดยเริ่มเปลี่ยนรอบบัญชีในปี 2566 ดังนั้นงบการเงินสำหรับรอบบัญชีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 จึงจัดทำขึ้นสำหรับรอบระยะเวลาเก้าเดือนเท่านั้น
โดยงบเสมือนที่จัดทำขึ้นสำหรับรอบระยะเวลา 12 เดือน กลุ่ม STI มีผลการดำเนินงานในปี 2566
(1 ตุลาคม 2565 – 30 กันยายน 2566) จากรายได้จากการให้บริการจำนวน 1,746.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.9 ล้านบาท คิดเป็น 0.6% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน (1 มกราคม 2565 – 31 ธันวาคม 2565) ปัจจัยมาจาก รายได้ของธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้างลดลง 2.1% ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากโครงการภาครัฐขนาดใหญ่หลายโครงการยังไม่สามารถเดินหน้าพัฒนาได้ตามแผน แต่เริ่มเห็นสัญญาณกลับมาฟื้นตัวในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ในทางกลับกันรายได้จากธุรกิจออกแบบสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมและธุรกิจอื่นมีจำนวนเพิ่มขึ้น 39.9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12.4% สาเหตุหลักเนื่องมาจากงานบริการส่วนนี้สามารถดำเนินการเพื่อส่งมอบได้มากขึ้นภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดที่มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะในส่วนของ
บริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำกัด (AEC) (บริษัทในกลุ่ม)
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้น จำนวน 514.4 ล้านบาท ลดลง 4.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่งผลให้มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 29.4% และมีกำไรสุทธิ จำนวน 133.4 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 7.6%
อย่างไรก็ดี คณะกรรมการบริษัทเห็นชอบให้จ่ายปันผลเป็นเงินสดให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท จากกำไรสุทธิในงวดผลประกอบการวันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2566 โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2567 และกำหนดจ่ายปันผลภายใน 23 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งการให้สิทธิในการรับเงินปันผลยังมีความไม่แน่นอน เนื่องจากต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 โดยมีกำหนดจัดขึ้นในวันพุธที่ 24 มกราคม 2567
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS