ส่งออกไทยปี 2566 เผชิญแรงกดดันจากเศรษฐกิจคู่ค้า ผลด้านราคาเริ่มลดลงทำให้ทั้งปีอาจหดตัว 1.5%

การส่งออกเติบโตช้าลงอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ด้วยหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นผลของฐานที่สูงในปีก่อนหน้า บวกกับการอ่อนแรงของตลาดส่งออกที่เริ่มปรากฎชัด ทำให้การส่งออกไทยเดือนพฤศจิกายน 2565 หดตัว -6.0%(YoY) ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 มีมูลค่า 22,308.0 ล้านดอลลาร์ฯ ฉุดให้การส่งออก 11 เดือนแรกของปีเติบโตอยู่ที่ 7.6% (YoY) โดยปัจจัยที่มีผลต่อการส่งออกไทยในเดือนพฤศจิกายน 2565 ได้แก่ การหดตัวของสินค้าในกลุ่ม คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ยางพารา เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ และเมื่อพิจารณาเป็นรายตลาดพบว่า ตลาดหลักของไทยอย่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปที่แม้การส่งออกพลิกกลับมาขยายตัวได้เล็กน้อยแต่ภาพรวมยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากการชะลอตัวของความต้องการนำเข้าสินค้าของประเทศดังกล่าว ขณะที่การส่งออกไปยังจีน ญี่ปุ่น และอาเซียนหดตัวเพิ่มขึ้น ยิ่งตอกย้ำความอ่อนแรงของกำลังซื้อคู่ค้าของไทยที่อาจส่งผลต่อเนื่องในปีต่อไป

สำหรับแนวโน้มปี 2566 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การส่งออกของไทยต้องเผชิญความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจคู่ค้าที่เปราะบางมากขึ้นอีก ฐานการส่งออกที่ทำสถิติสูงต่อเนื่องในปีนี้ ปัจจัยด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์ชะลอตัว ตลอดจนปัจจัยเฉพาะของแต่ละสินค้าที่ล้วนทำให้ภาพการส่งออกในปีหน้าไม่สดใสเท่าที่ควร โดยมีรายละเอียดดังนี้

· เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงสะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของประเทศเศรษฐกิจหลักของโลกอย่างสหภาพยุโรป สหรัฐฯ และจีนอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 อย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 4/2565 โดยตลาดส่งออกหลักของไทยเจอมรสุมเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหภาพยุโรปที่มีแนวโน้มอ่อนไหวกว่าตลาดอื่นๆ ด้วยวิกฤตพลังงานและเงินเฟ้อที่สูงเป็นประวัติการณ์ยิ่งจำกัดการใช้จ่ายของผู้บริโภคโดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยที่คิดเป็นเกือบ 30% ของการส่งออกไทยไปสหภาพยุโรป ตลาดสหรัฐฯ ที่เศรษฐกิจยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงและทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการใช้จ่ายของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลให้คาดว่าการส่งออกในสินค้าหลายประเภท อาทิ ยานยนต์ อัญมณี คงจะหดตัวลง แม้ว่าการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์โทรศัพท์คาดว่า อาจยังขยายตัวได้หลังจากที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วง 2 ปีมานี้ ส่วนหนึ่งเป็นการเบนเข็มการส่งออกจากตลาดจีนไปตลาดสหรัฐฯ อันเนื่องมาจากสงครามการค้า ตลาดญี่ปุ่นแม้เศรษฐกิจเปราะบางแต่ยังต้องการสินค้าอาหารและปัจจัยการผลิตที่ต้องยอมรับว่าทำตลาดได้เติบโตอย่างจำกัด ตลาดจีนที่มาตรการโควิดเป็นศูนย์ผ่อนคลายไปมาก ส่งผลให้คาดว่ากำลังซื้อในประเทศจะฟื้นกลับมาช่วยขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าอาหารไทย แต่ยังมีประเด็นท้าทายด้านการแข่งขันที่สูงขึ้นในผลิตภัณฑ์ผลไม้ไทย ในขณะที่สินค้าส่งออกไทยที่มีสัดส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับโภคภัณฑ์อาจเผชิญการส่งออกที่มีมูลค่าลดลงจากผลของราคา สำหรับตลาดอาเซียนแม้เศรษฐกิจในภาพรวมของสมาชิกยังมีภาพบวกแต่สินค้าไทยที่ส่งไปราว 30% ล้วนอิงกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทำให้การส่งออกไปตลาดดังกล่าวอ่อนแรงพอสมควร

· สินค้าฟุ่มเฟือยและสินค้าที่อิงกับสินค้าโภคภัณฑ์เสี่ยงหดตัวในทุกตลาด อาทิ น้ำมันสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก และเคมีภัณฑ์ล้วนเป็นผลจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีแนวโน้มอ่อนแรงลงตามอุปสงค์โลกที่ลดลง แม้ในระยะข้างหน้าจีนจะมีการเปิดประเทศก็คาดว่า ความต้องการที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ให้กลับมาพุ่งขึ้นกลับไปใกล้เคียงระดับในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 นั้นยังจำกัด ขณะที่สินค้าฟุ่มเฟือยอย่างอัญมณีและเครื่องประดับ ยานยนต์และชิ้นส่วน รถจักรยานยนต์และชิ้นส่วน ยางและผลิตภัณฑ์ที่ส่วนใหญ่เป็นยางล้อรถยนต์ คงทำตลาดได้อย่างจำกัดเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของคู่ค้าไทยโดยเฉพาะตลาดสหภาพยุโรปที่เป็นปลายทางสินค้าฟุ่มเฟือยที่สำคัญ

· สินค้าจำเป็นในหมวดอาหารยังรุ่ง แต่สินค้าอาหารมีมูลค่าไม่สูงเมื่อเทียบกับสินค้าอุตสาหกรรม โดยมีสัดส่วน 12% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย จึงยังไม่สามารถชดเชยการชะลอตัวลงของสินค้าขั้นกลางและสินค้าอุตสาหกรรมอื่นๆ ทั้งนี้ การส่งออกผลไม้ (ทุเรียน) ที่เป็นสินค้าอาหารอันดับ 1 ล้วนส่งออกไปจีน ซึ่งในเวลานี้ต้องเผชิญการแข่งขันกับทุเรียนจีน เวียดนาม มาเลเซียและฟิลิปปินส์เข้ามาทำตลาดจีนมากขึ้น รวมทั้งยังมีประเด็นมาตรฐานการปลูก (GAP) และโรงคัดบรรจุ (GMP) สำหรับสินค้าน้ำตาลที่อาจเติบโตได้ไม่มากนักจากราคาที่ปรับลดลง รวมถึงสินค้าอาหารอื่นๆ ยังคงทำตลาดได้ อาทิ ไก่แปรรูป อาหารทะเลแปรรูป ข้าว เครื่องดื่มและอาหารสัตว์เลี้ยง

· สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังมีโอกาสเติบโตในบางตลาด โดยสินค้าเพื่อตอบโจทย์กิจกรรม Work Form Home เติบโตอย่างจำกัดเนื่องจากตลาดค่อนข้างอิ่มตัวไปแล้วหลังจากที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงปี 2564-2565 แต่สินค้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์บางรายการยังได้อานิสงส์จากความต้องการผลิตสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยีที่กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไปแล้ว โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดที่เป็นแหล่งผลิตสินค้าเทคโนโลยีอย่างญี่ปุ่น จีนและอาเซียนที่ยังมีสัญญาณเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ แต่สิ่งที่น่าจับตาอีกแห่งคือฐานการผลิตในสหรัฐฯ เริ่มเดินเครื่องการผลิตจากการการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนในช่วงที่ผ่านมา นั่นทำให้มีความต้องการสินค้าจากไทยเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวในช่วงเวลาดังกล่าว อาทิ HDD โทรศัพท์และชิ้นส่วนและไดโอด

หมายเหตุ: คาดการณ์ ณ 19 ธันวาคม 2565

การส่งออกไทยในปี 2564-2565 นับเป็นปีที่ยอดมูลค่าการส่งออกกลับสู่ภาวะก่อนโควิดเรียบร้อยแล้วและทำสถิติใหม่เร่งตัวสูงเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันจนกลายเป็นฐานการส่งออกที่สูงมาก ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจคู่ค้าที่ยังเผชิญปัญหาเงินเฟ้อกดดันการใช้จ่ายจึงไม่เอื้อต่อการส่งออกของไทยในปีหน้า โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การส่งออกของไทยในปี 2566 มีความเสี่ยงหดตัวที่ 1.5% โดยคาดว่ามีมูลค่าอยู่ที่ราว 2.82 แสนล้านดอลลาร์ฯ สินค้าในหมวดหมู่สินค้าโภคภัณฑ์ที่อาจหดตัวจากราคาที่ลดลงตามอุปสงค์โลก ขณะที่สินค้าฟุ่มเฟือย อาทิ อัญมณี ยานยนต์ ก็อาจทำตลาดในเศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญได้อย่างจำกัด อีกทั้ง สินค้าอาหารที่แม้ยังเติบโตแต่ก็มีสัดส่วนน้อย ส่วนสินค้าที่มีส่วนช่วยขับเคลื่อนให้การส่งออกพลิกกลับมาขยายตัวอยู่ที่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ที่ขึ้นอยู่กับกำลังซื้อของผู้บริโภคในแต่ละตลาดเป็นหลัก อย่างไรก็ดี หากมีการเร่งเดินหน้าทำตลาดส่งออกในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกที่ไม่ใช่ตลาดหลักของไทยโดยเฉพาะตลาดตะวันออกลาง รวมถึงหากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกส่งผลต่อความต้องการสินค้านำเข้าน้อยกว่าที่คาด การส่งออกของไทยในปี 2565 ยังมีโอกาสที่จะไม่เติบโตหรือขยายตัวเล็กน้อย


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment