DITP แนะเจาะตลาดเครื่องดื่มเมียนมา

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในประเทศเมียนมามีการเติบโตขึ้นมาก และมีหลากหลายรูปแบบเพื่อตอบสนองความต้องการบริโภคของประชากรชาวเมียนมาที่เริ่มมีกำลังซื้อ ซึ่งเครื่องดื่มนำเข้าจากต่างประเทศได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก อาทิ น้ำผลไม้ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง น้ำหวานและน้ำอัดลม (soft drink) ชา กาแฟ นม นมถั่วเหลือง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยกเว้นเบียร์ที่ห้ามนำเข้า และเครื่องดื่มผสมเกลือแร่ เป็นต้น

อย่างไรก็ตามาเมียนมายังมีข้อจำกัดในการผลิตสินค้าที่หลากหลายหรือสินค้าที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง รวมทั้งยังไม่มีกฎหมายอุตสาหกรรมที่ชัดเจน อีกทั้ง ด้านคุณภาพและภาพลักษณ์ของสินค้าเครื่องดื่มที่ผลิตในประเทศอาจยังไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภคบางกลุ่ม จึงยังต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าเครื่องดื่มจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะจากประเทศไทย ซึ่งถือว่าได้เปรียบประเทศอื่น ๆ ในเชิงภูมิศาสตร์ เนื่องจากมีพรมแดนติดกับเมียนมา ทำให้การขนส่งสินค้าทำได้สะดวกรวดเร็วและมีต้นทุนโลจิสติกส์ที่ต่ำกว่าคู่แข่ง

จากข้อมูลของ สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงย่างกุ้ง ได้สรุปพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละกลุ่มเครื่องดื่มไว้ดังนี้

เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (วิสกี้ ไวน์ เบียร์) ชาวเมียนมานิยมดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเพิ่มขึ้น เห็นได้จากการขยายตัวของธุรกิจร้านอาหาร ผับ บาร์ และร้านสถานบันเทิง โดยกลุ่มชนชั้นกลาง-กลุ่ม High End จะนิยมดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นำเข้าจากต่างประเทศเป็นหลัก

เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ แม้เริ่มผลิตสินค้าได้เอง แต่ยังมีการนำเข้าเป็นจำนวนมากเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น น้ำแร่ น้ำอัดแก๊ส (Sparking Water) และน้ำหวานต่าง ๆ

เครื่องดื่มชูกำลัง เป็นสินค้าเครื่องดื่มนำเข้าจากประเทศไทยที่ได้รับความนิยมและมีมูลค่าการนำเข้าสูงที่สุด พบว่ามีการนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากประเทศไทยหลากหลายแบรนด์ เป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวเมียนมาทั่วไปไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิง

น้ำผลไม้ เครื่องดื่มน้ำผลไม้จากประเทศไทยหลากหลายแบรนด์เข้าไปจำหน่ายในเมียนมา เช่น มาลี UFC ทิปโก้ CHABAA และ ดีโด้ เป็นต้น ส่วนน้ำผลไม้แบรนด์ท้องถิ่นของเมียนมาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงคือ VeVe

ทั้งนี้ การส่งออกสินค้าไทยสู่ตลาดเมียนมาได้จะต้องผ่านผู้นำเข้า ตัวแทนจำหน่าย (Sale Agent) และผู้จัดจำหน่าย (Distributor) เป็นหลัก ซึ่งการหาคู่ค้าที่มีศักยภาพและมีความน่าเชื่อถืออาจต้องใช้เวลาในการศึกษาและทำความรู้จักคู่ค้าให้เป็นอย่างดี เพื่อให้สามารถกระจายสินค้าไทยได้อย่างทั่วถึง ขณะเดียวกันกระบวนการทางศุลกากรก็ต้องให้ผู้นำเข้าท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการ



โดยมีช่องทางการกระจายสินค้าในเมียนมาที่สำคัญ 4 ช่องทาง ได้แก่ ตลาดดั้งเดิมทั่วไป (Traditional Trade) หรือร้านโชห่วย ร้านค้าปลีกท้องถิ่น ซึ่งมีสัดส่วนมากที่สุด และครอบคลุมทุกพื้นที่ ห้างโมเดิร์น เทรด (Modern Trade) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมากและมีการขยายตัวทางธุรกิจสูง สามารถตอบรับเทรนด์ไลฟ์สไตล์ของชาวเมียนมายุคใหม่ได้เป็นอย่างดี และเริ่มขยายสาขากระจายไปยังภูมิภาคต่าง ๆ อีกด้วย อาทิ City Mart Group, Capital, AEON Orange, Ga Mone Pwint และ Sein Gay Har นอกจากนี้ยังมี ร้านสะดวกซื้อ (Convenience Store) ที่เป็นช่องทางที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกพื้นที่ ส่วนช่องทางอี-คอมเมิร์ซ (E-Commerce) นั้น ปัจจุบันเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น ผ่านแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือในเมียนมาอย่าง Shop.com.mm

อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับภาวะตลาด และสถานการณ์เศรษฐกิจ เช่น การศึกษาช่องทางขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ และการทำดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง โดยเน้นการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ผ่านโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะเฟซบุ๊คซึ่งเป็นสื่อที่ชาวเมียนมาใช้เป็นอันดับหนึ่ง เข้าถึงผู้บริโภคจำนวนมาก และมีต้นทุนที่ไม่สูง


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment