ค่าเงินบาทเปิดเช้า 3 พฤศจิกายน 2568 ที่ระดับ 32.47 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้า 3 พฤศจิกายน 2568 ที่ระดับ 32.47 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลง” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง เข้าใกล้โซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.29-32.49 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์ยังคงทยอยแข็งค่าขึ้น ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังผู้เล่นในตลาดทยอยรับรู้ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งภาพดังกล่าว กอปรกับภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ยังได้กดดันให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) พลิกกลับมาปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จนหลุดโซน 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยเฉพาะในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้น ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังผู้เล่นในตลาดรับรู้ผลการประชุม FOMC ล่าสุดของเฟด ที่มีลักษณะ “Hawkish Cut”

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อาทิ ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP และ ดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ พร้อมติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึง รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

ฝั่งสหรัฐฯ – ในช่วงทุกๆ ต้นเดือน ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ทว่า รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อาจถูกเลื่อนประกาศไปก่อน จากผลกระทบภาวะ Government Shutdown (รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ จากหน่วยงานรัฐ) ทำให้ผู้เล่นในตลาดจะอาศัยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจากฝั่งเอกชน ในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ในเดือนตุลาคม ที่ตลาดจะให้ความสำคัญมากขึ้น รวมถึง รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (ISM Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนตุลาคม และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) สำหรับเดือนพฤศจิกายน และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด

ฝั่งยุโรป – ประเด็นสำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยบรรดานักวิเคราะห์รวมถึงเรา ต่างประเมินว่า BOE อาจมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ ให้คงดอกเบี้ยที่ระดับ 4.00% หลังอัตราเงินเฟ้อของอังกฤษก็ยังอยู่ในระดับสูง ทว่าสัญญาณการชะลอตัวลงของตลาดแรงงานอังกฤษก็อาจทำให้ BOE สามารถทยอยลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ นอกจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB และ BOE รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของยูโรโซน

ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ โดย RatingDog (หรือเดิมคือ Caixin PMI) ในเดือนตุลาคม รวมถึงรายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) ของจีน ในเดือนตุลาคม เช่นกัน ส่วนการประชุมธนาคารกลางที่น่าสนใจ จะประกอบไปด้วย การประชุมธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) และธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ทั้ง RBA และ BNM อาจคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 3.60% และ 2.75% ตามลำดับ แต่อาจลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ในปีหน้า หากเศรษฐกิจออสเตรเลียและมาเลเซีย ชะลอตัวลงมากกว่าคาด ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ผ่านรายงานอัตราการเติบโตค่าจ้าง (Wage Growth) โดยหลังการประชุม BOJ ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดได้ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ และให้โอกาสราว 48% ที่ BOJ จะขึ้นดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 0.75% ในการประชุมเดือนธันวาคม

ฝั่งไทย – เราประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนตุลาคม จะยังคง “ติดลบ” ต่อเนื่อง ที่ระดับ -0.79% (-0.12%m/m) ตามการปรับตัวลงของทั้งราคาเนื้อสัตว์และราคาพลังงานจากเดือนก่อนหน้า อีกทั้งฐานราคาสินค้าและบริการในปีก่อนยังคงอยู่ในระดับสูง แม้จะชะลอตัวลงบ้าง ทว่าเรายังไม่เห็นความเสี่ยงภาวะเงินฝืด หรือสัญญาณการปรับตัวลงของราคาสินค้าและบริการเป็นวงกว้าง ทำให้อัตราเงินเฟ้อจะยังไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรม และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจในเดือนตุลาคม

สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทกลับมามีกำลังบ้าง หลังเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น พร้อมกับจังหวะย่อตัวลงของราคาทองคำ (เราขอย้ำว่า ราคาทองคำได้เข้าสู่ช่วงการพักฐาน) ตามการปรับลดความคาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ทว่า เงินดอลลาร์แม้จะแข็งค่าขึ้นต่อได้ แต่ก็ต้องอาศัยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งควรย้ำจุดยืนว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ตลาดคาดหวัง ถึงทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม ทำให้ เงินดอลลาร์ก็ยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-way risk ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด อีกทั้งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจเริ่มทยอยปรับลดสถานะถือครองหรือขายทำกำไรการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงที่ผ่านมาได้บ้าง โดยเฉพาะเมื่อดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้าน 100 จุด (หากแข็งค่าทะลุโซนดังกล่าว ก็อาจเห็นดัชนี DXY ปรับตัวขึ้นต่อทดสอบโซน 102 จุด ได้ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงการอ่อนค่าของเงินบาท เข้าใกล้โซนแนวต้าน 33.00 บาทต่อดอลลาร์)

ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทอาจมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หรือขายทำกำไรสถานะ Short THB บ้าง และหากอ้างอิงกลยุทธ์ Trend-Following เรามองว่า เงินบาทจะกลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่า อีกครั้ง เมื่อเงินบาทอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้าน 32.75 บาทต่อดอลลาร์ (หรือปรับตัวขึ้นเหนือโซนเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์) ได้อย่างชัดเจน

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.20-32.80 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.55 บาท/ดอลลาร์

พูน พานิชพิบูลย์

นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน

Krungthai GLOBAL MARKETS

ธนาคารกรุงไทย


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment