{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
สมาคมไทยรับสร้างบ้าน (Thai Home Builders Association: THBA) วิเคราะห์สถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้านในอดีตถึงปัจจุบัน เผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่สำคัญ โดยมีการเปลี่ยนผ่านจากปัจจัยที่ขับเคลื่อนด้วยราคาและงบประมาณ ไปสู่การให้ความสำคัญกับปัจจัยเชิงคุณค่าและความมั่นคงในระยะยาวอย่างชัดเจน ในปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญสูงสุดกับความคุ้มค่าและคุณภาพการก่อสร้างบ้าน ซึ่งรวมถึงความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการเป็นอันดับแรก ตามมาด้วยความสามารถในการบริหารจัดการงบประมาณ และพื้นที่ใช้สอยที่ยืดหยุ่นได้
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในอนาคตกำลังถูกกำหนดโดยปัจจัยใหม่ ๆ ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความปลอดภัยของโครงสร้างหลัก ภายหลังเหตุการณ์ภัยธรรมชาติที่สร้างความตื่นตระหนก นอกจากนี้ ความต้องการที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การเข้าสู่สังคมสูงวัย และเทรนด์ด้านความยั่งยืนที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย จะกลายเป็นแรงผลักดันหลักที่กำหนดทิศทางของตลาด
จากข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ ผู้ประกอบการในตลาดรับสร้างบ้านจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างเร่งด่วน จากการมุ่งเน้นการแข่งขันด้านราคา ไปสู่การสร้างคุณค่าที่แท้จริงให้กับผู้บริโภค ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัย ความยั่งยืน และการออกแบบที่ตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะกลุ่มอย่างแท้จริง การสร้างความน่าเชื่อถือของแบรนด์และการสื่อสารที่ชัดเจนในเรื่องคุณภาพ จึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคตที่กำลังจะมาถึง
ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในปัจจุบันและผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย สถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้าน: ภาวะหดตัวและปัจจัยเชิงลบ
นายนิรัญ โพธิ์ศรี นายกสมาคม เผยว่าตลาดรับสร้างบ้านทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงในต่างจังหวัด กำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยมูลค่าตลาดรวมของบ้านสร้างเองทั่วประเทศในปี 2568 คาดว่าจะปรับตัวลดลงจาก 130,000 ล้านบาท ในปี 2567 เหลือเพียง 110,000-120,000 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าตลาดรับสร้างบ้านที่ดำเนินการโดยบริษัทรับสร้างบ้านก็ลดลงในทิศทางเดียวกัน โดยคาดว่ามูลค่าจะลดลงจาก 18,000 ล้านบาท ในปี 2567 เหลือเพียง 14,000 ล้านบาท หรือลดลง 22% นับเป็นการหดตัวที่แรงที่สุดอีกครั้งในรอบหลายปีที่ผ่านมา
ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ตลาดซบเซามาจากหลายสาเหตุทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ฟื้นตัวช้า ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การที่สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และล่าสุดผลกระทบที่เกิดจากการปะทะกันของทหารไทย-กัมพูชา บริเวณชายแดนในจังหวัดภาคอีสานตอนล่างและจังหวัดชายแดนภาคตะวันออก ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่ต้องการสร้างบ้านขนาดเล็กซึ่งมีงบประมาณไม่เกิน 2 ล้านบาท และกลุ่มที่ต้องการสร้างบ้านขนาด
ใหญ่พิเศษที่มีราคาสูงกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าทั้งสองกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบและมีสัดส่วนลดลงมากที่สุด
แม้ตลาดโดยรวมจะอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่การวิเคราะห์อย่างละเอียดของสมาคมฯ ชี้ให้เห็นว่า ความต้องการของผู้บริโภคในการสร้างบ้านนั้นไม่ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นการชะลอการตัดสินใจออกไป การที่ผู้บริโภคยังคงให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัสดุ สำหรับงานโครงสร้างที่มีคุณภาพไว้ตามเดิม บ่งชี้ว่าความต้องการในคุณค่าและคุณภาพของที่อยู่อาศัยยังคงอยู่ เพียงแต่กำลังซื้อที่ลดลงและภาระหนี้ครัวเรือน ทำให้ต้องเลื่อนแผนการลงทุนออกไปก่อน สถานการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าอุปสงค์ที่กำลังจะกลับมาในอนาคตจะไม่ใช่แบบเดิมอีกต่อไป แต่จะเป็นอุปสงค์ที่ให้ความสำคัญกับความมั่นคงและคุณภาพในระยะยาวมากขึ้น
ลักษณะทางประชากรของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
โครงสร้างประชากรและลักษณะครัวเรือนของไทยกำลังเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่งผลต่อความต้องการที่อยู่อาศัยในปัจจุบันและอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยโครงสร้างครอบครัวไทยที่พบมากที่สุดคือครอบครัวเดี่ยวซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 53.65% ในปี 2565 ในขณะที่ครอบครัวขยายมีสัดส่วนเพียง 13.15% นอกจากนี้ ขนาดครัวเรือนเฉลี่ยทั่วประเทศก็มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ที่ประมาณ 3.2 คนต่อหนึ่งครัวเรือน ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีจำนวนผู้สูงอายุมากถึง 12.5 ล้านคน สวนทางกับอัตราการเกิดที่ติดลบนับตั้งแต่ปี 2564
ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายและการปรับตัวจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ
กลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการสร้างบ้านเองส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มที่มีที่ดินเปล่าเป็นของตนเอง อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของผู้บริโภคกลุ่มนี้มีความละเอียดอ่อน และมีการปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง จากสภาพเศรษฐกิจที่ผันผวน ทั้งนี้พบว่าผู้บริโภคกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรขนาดใหญ่ ที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิทัล แม้ว่ากลุ่มนี้จะมีความต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์แบบใหม่ เช่น การทำงานที่บ้าน แต่กลับเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากที่สุด เนื่องจากเป็นกลุ่มที่กำลังสร้างตัวและมีรายได้ยังไม่สูงมากนัก ส่งผลให้หลายคนต้องชะลอการตัดสินใจสร้างบ้านออกไป
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างทำให้ผู้บริโภคต้องปรับเปลี่ยนแผน เพื่อควบคุมงบประมาณ การปรับตัวส่วนใหญ่ทำได้โดยการเลือกปรับลดวัสดุตกแต่ง หรือการออกแบบบางส่วนที่มีราคาแพงลง แต่ยังคงเลือกใช้วัสดุสำหรับงานโครงสร้างไว้ตามเดิม การกระทำนี้สะท้อนให้เห็นว่าในสถานการณ์ที่ต้องประหยัดค่าใช้จ่าย ผู้บริโภคยังคงให้ความสำคัญกับความมั่นคง และคุณภาพของบ้านในระยะยาวเหนือกว่าความสวยงามภายนอก ซึ่งเป็นสัญญาณที่สำคัญสำหรับผู้ประกอบการ
ปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ๆ ปัจจัยด้านการเงินและเศรษฐกิจ
สำหรับผู้บริโภคที่เลือกสร้างบ้านเอง การบริหารงบประมาณเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้น ๆ โดยงบประมาณการก่อสร้างส่วนใหญ่อยู่ที่ 2-5 ล้านบาท สิ่งที่น่าสนใจคือผู้บริโภคในกลุ่มนี้มีสัดส่วนสูงมากกว่า 40% ที่ไม่ต้องการใช้สินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยใช้เงินสดในการก่อสร้างบ้านเอง ขณะที่อีกกว่า 32% ยังคงมีความต้องการใช้สินเชื่อ อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ล่าช้าและนโยบายของภาครัฐที่ไม่ชัดเจน ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายหรือลงทุนเรื่องที่อยู่อาศัยลดลง ทำให้ผู้บริโภคมีความอ่อนไหวต่อราคาและต้นทุนค่าก่อสร้างที่สูงขึ้น และต้องปรับแผนการก่อสร้างเพื่อควบคุมงบประมาณตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น
ปัจจัยด้านความน่าเชื่อถือและความปลอดภัย
ข้อมูลข้างต้นชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของปัจจัยขับเคลื่อนการตัดสินใจ โดยในอดีต (ปี 2560) ปัจจัยด้านราคาที่ระบุว่า "ราคาถูกกว่าซื้อโครงการบ้านจัดสรร" เป็นเหตุผลอันดับที่ 3 ที่ผู้บริโภคเลือกสร้างบ้านเอง ซึ่งสะท้อนถึงการให้ความสำคัญกับต้นทุนในขณะนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการและแบรนด์กลับเข้ามามีบทบาทที่สำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้บริโภค Gen X และ Gen Y ที่ต้องการใช้บริการกับผู้ประกอบการสร้างบ้านที่มีประวัติและชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ
จุดเปลี่ยนที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวล่าสุด ซึ่งกระทบต่อความมั่นใจของผู้บริโภคอย่างรุนแรง ผลสำรวจล่าสุดเผยว่ากว่า 90% ของผู้บริโภคต้องการเลือกแบรนด์ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยและใช้ผู้ประกอบการสร้างบ้านที่น่าเชื่อถือ และมากกว่า 50% พร้อมที่จะเพิ่มงบประมาณในการสร้างบ้านใหม่ เพื่อยกระดับความปลอดภัยของโครงสร้าง ซึ่งชี้ให้เห็นว่าปัจจัยด้านความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยของโครงสร้าง ได้กลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนอันดับหนึ่งในการตัดสินใจของผู้บริโภคในปัจจุบัน แทนที่การแข่งขันด้านราคาอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต
การที่ผู้บริโภคเต็มใจที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้น เพื่อความปลอดภัยและคุณภาพ สะท้อนถึงการเปลี่ยนมุมมองจากการมองบ้านเป็นเพียง "สินทรัพย์" ที่มีต้นทุนต่ำ ไปสู่การมองบ้านเป็น "แหล่งพักพิงที่ปลอดภัย" ที่มีคุณค่าในระยะยาว ผู้ประกอบการสร้างบ้านที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในด้านความแข็งแรงของโครงสร้าง มาตรฐานการก่อสร้างที่เหนือกว่า และการรับประกันที่ชัดเจนจะมีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างมากในตลาดปัจจุบัน
ตารางด้านล่างแสดงให้เห็นถึงการจัดลำดับความสำคัญของผู้บริโภคในการสร้างบ้าน โดยเปรียบเทียบจากข้อมูลในอดีตกับข้อมูลล่าสุด เพื่อให้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน
ตารางที่ 1: การเปรียบเทียบปัจจัยการตัดสินใจสร้างบ้าน (อดีต vs ปัจจุบัน)
ปัจจัยด้านการปรับแต่งและพื้นที่ใช้สอย
ผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นของพื้นที่ใช้สอยและฟังก์ชัน ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เฉพาะตัวเป็นอย่างมาก การทำงานจากที่บ้านกลายเป็นวิถีปฏิบัติใหม่ ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการพื้นที่สำหรับทำงานเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มการกลับมาอยู่รวมกันแบบครอบครัวขยายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการออกแบบบ้านสำหรับคนหลายช่วงวัย มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องคำนึงถึงพื้นที่ส่วนกลางที่กว้างขวางให้ทุกคนสามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้อย่างมีความสุข และในขณะเดียวกันก็ต้องมีพื้นที่ส่วนตัวสำหรับสมาชิกแต่ละคนเพื่อความเป็นส่วนตัวและอิสระ
แบบบ้านสำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ จึงควรมีห้องนอนที่มีฟังก์ชันครบครัน มีห้องน้ำหลายห้องเพื่อลดความแออัด และมีพื้นที่ยืดหยุ่นที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามความต้องการ เช่น ห้องอเนกประสงค์ที่สามารถใช้เป็นห้องเด็กเล่นหรือห้องทำงานได้ ความต้องการในการปรับแต่งตามความชอบนี้ ถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้บริโภคเลือกสร้างบ้านเองตั้งแต่แรก และยังคงเป็นแรงผลักดันสำคัญอย่างต่อเนื่อง
แนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคในอนาคต
เทรนด์ด้านความยั่งยืนและประหยัดพลังงาน
นายนิรัญ นายกสมาคม ชี้ให้เห็นอีกว่า เทรนด์บ้านยั่งยืนและประหยัดพลังงาน กำลังได้รับความสนใจอย่างก้าวกระโดดจากผู้บริโภค โดยผลสำรวจล่าสุดพบว่า ผู้บริโภคกว่า 90% ให้ความสำคัญกับบ้านที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และกว่า 80% ยินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อบ้านที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ การตัดสินใจนี้ได้รับแรงผลักดันจากความตระหนักต่อภาวะโลกร้อน (Climate Change) ที่มากขึ้น รวมถึงความต้องการที่จะลดภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น (ที่มา: ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์)
องค์ประกอบสำคัญของบ้านประหยัดพลังงานที่ผู้บริโภคให้ความสนใจ ได้แก่:
- การออกแบบตามหลักสถาปัตยกรรม: การจัดวางตัวบ้านตามทิศทางลมและแสงแดด และการสร้างพื้นที่สีเขียวรอบบ้าน ช่วยลดอุณหภูมิและลดการใช้พลังงานได้
- การใช้พลังงานทางเลือก: ผู้บริโภคกว่า 50% ต้องการบ้านที่มีระบบหลังคาโซลาร์เซลล์ (Solar Rooftop) เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าใช้เอง
- การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่เหมาะสม: การเลือกใช้วัสดุที่ช่วยลดการถ่ายเทความร้อนจากภายนอกเข้าสู่ภายในบ้าน เช่น อิฐมวลเบา, ฉนวนกันความร้อน (ฉนวนใยแก้ว, PU FOAM, PE FOAM), กระจกสะท้อนความร้อน, และหลังคาเย็น (Cool Roof) สามารถช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้านและลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในระยะยาว
ตารางด้านล่างแสดงการเปรียบเทียบคุณสมบัติและต้นทุนโดยประมาณของวัสดุก่อสร้างประหยัดพลังงานบางประเภท เพื่อให้ผู้ประกอบการเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น
ตารางที่ 2: การเปรียบเทียบคุณสมบัติและต้นทุนของวัสดุก่อสร้างประหยัดพลังงาน
เทรนด์การอยู่อาศัยที่ตอบโจทย์โครงสร้างประชากร
จากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของประชากรสูงอายุ ความต้องการบ้านที่ออกแบบเพื่อรองรับผู้สูงอายุจึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การออกแบบบ้านในลักษณะนี้จะเน้นไปที่ความปลอดภัย และความสะดวกสบายของผู้สูงอายุเป็นหลัก หลักการสำคัญที่ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญ ตัวอย่างเช่น
- พื้นผิวกันลื่น: ควรเลือกใช้วัสดุปูพื้นที่มีผิวสัมผัสไม่ลื่นและไม่มีลวดลายมากเกินไปจนทำให้รู้สึกเวียนหัว
- ทางลาดและพื้นเรียบ: ควรหลีกเลี่ยงการมีพื้นต่างระดับ และหากจำเป็นต้องมี ควรทำทางลาดเชื่อมต่อเพื่อป้องกันการสะดุดล้ม
- ราวจับ: ควรติดตั้งราวจับตามบันได ทางเดิน และในห้องน้ำ เพื่อช่วยพยุงตัว
- แสงสว่างและสวิตช์ไฟ: ควรมีแสงสว่างที่เพียงพอและสม่ำเสมอทั่วทั้งบ้าน โดยเฉพาะในบริเวณที่ใช้งานบ่อย และควรใช้สวิตช์ไฟขนาดใหญ่ที่สามารถเรืองแสงในที่มืดได้
- ห้องนอนและห้องน้ำ: ควรจัดให้ห้องนอนของผู้สูงอายุอยู่บนชั้นล่างและมีห้องน้ำในตัว หรืออยู่ใกล้กับห้องน้ำมากที่สุดเพื่อความสะดวกในการใช้ชีวิต
นอกจากนี้ เทรนด์การเพิ่มขึ้นของประชากรโสด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายที่มีความต้องการบ้านที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เฉพาะบุคคลที่แตกต่างออกไปจากครอบครัวทั่วไป
การจัดลำดับความสำคัญของผู้บริโภค
จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกทั้งหมด สมาคมฯ สามารถจัดลำดับความสำคัญของผู้บริโภค ในการตัดสินใจสร้างบ้านในปัจจุบันและอนาคตได้อย่างเป็นระบบ โดยปัจจัยด้านราคาไม่ได้เป็นตัวแปรเดียวในการตัดสินใจอีกต่อไป แต่เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งที่ผู้บริโภคนำไปเปรียบเทียบกับปัจจัยอื่น ๆ ที่สร้างคุณค่าในระยะยาว โดยมีลำดับความสำคัญดังนี้:
ลำดับที่ 1: ความน่าเชื่อถือและความปลอดภัย (Trust & Safety) ปัจจัยนี้ได้ก้าวขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งอย่างชัดเจน โดยได้รับแรงผลักดันจากความกังวลด้านความมั่นคงของโครงสร้างหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวล่าสุด ผู้บริโภคเต็มใจที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อใช้บริการจากบริษัทที่มีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือ
ลำดับที่ 2: คุณภาพและความคุ้มค่าระยะยาว (Quality & Long-Term Value) ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับบ้านที่ให้ความคุ้มค่าในระยะยาว โดยสะท้อนจากความต้องการบ้านยั่งยืนและประหยัดพลังงาน ที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค
ลำดับที่ 3: พื้นที่ใช้สอยและฟังก์ชันที่ยืดหยุ่น (Flexible Space & Functionality) การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เช่น การทำงานจากที่บ้าน ทำให้ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับพื้นที่ที่สามารถปรับเปลี่ยนและตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายได้ รวมถึงการออกแบบที่รองรับการอยู่อาศัยของสมาชิกต่างวัยในครอบครัวขยาย
ลำดับที่ 4: การบริหารงบประมาณ (Budget Management) ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ แต่ผู้บริโภคแสดงให้เห็นถึงการประนีประนอม ด้วยการลดคุณภาพวัสดุตกแต่งลง แทนที่จะลดคุณภาพของโครงสร้างหลัก
ลำดับที่ 5: การปรับแต่งตามความต้องการ (Personal Customization) เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ขับเคลื่อนให้ผู้บริโภคเลือกสร้างบ้านเองตั้งแต่แรก และยังคงเป็นสิ่งที่ทำให้การสร้างบ้านมีความหมายและตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลได้อย่างแท้จริง
ข้อเสนอแนะ
นายสิทธิพร สุวรรณสุต กรรมการกิตติมศักดิ์ สมาคมไทยรับสร้างบ้าน กล่าวเสริมว่า จากพฤติกรรมและความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค ผู้ประกอบการในตลาดรับสร้างบ้านจึงควรปรับกลยุทธ์การแข่งขันมาสู่การสร้างคุณค่าและคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการ แทนการแข่งขันด้วยต้นทุนต่ำและราคาต่ำที่ไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภค หรือยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัยได้ตามต้องการ ซึ่งแนวทางที่ควรนำมาใช้ในการปรับตัวและแข่งขัน ตัวอย่างเช่น:
แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ:
บ้านเพื่อความมั่นคง: พัฒนาแบบบ้านและโซลูชันที่เน้นความแข็งแรงของโครงสร้างและมีมาตรฐานความปลอดภัยที่เหนือกว่า โดยควรมีการสื่อสารที่ชัดเจนในเรื่องการรับประกันและขั้นตอนการก่อสร้างที่เป็นมืออาชีพ
บ้านเพื่อความยั่งยืน: พัฒนาผลิตภัณฑ์บ้านประหยัดพลังงานให้เป็นจุดขายหลัก โดยนำเสนอโซลูชันแบบครบวงจรตั้งแต่การออกแบบที่คำนึงถึงทิศทางลม การเลือกใช้วัสดุกันความร้อน เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการความคุ้มค่าในระยะยาว
บ้านสำหรับทุกช่วงวัย: ออกแบบบ้านที่รองรับความต้องการของครอบครัวขยายและผู้สูงอายุโดยเฉพาะ โดยคำนึงถึงฟังก์ชันและความปลอดภัยในทุกพื้นที่อย่างละเอียดอ่อน การมีแบบบ้านที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์นี้จะช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืน
กลยุทธ์การสื่อสารและการตลาด:
สร้างแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ: ในเมื่อความน่าเชื่อถือเป็นปัจจัยอันดับหนึ่ง การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับและมีประวัติที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญ การใช้ช่องทางดิจิทัลและโซเชียลมีเดียในการนำเสนอผลงานและรีวิวจากลูกค้าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นได้เป็นอย่างดี
นำเสนอโซลูชันแบบครบวงจร: การนำเสนอการบริการที่ครอบคลุมตั้งแต่การออกแบบ การเลือกวัสดุ การขอสินเชื่อ ไปจนถึงการก่อสร้างและบริการหลังการขาย จะช่วยลดความยุ่งยากและความกังวลให้กับผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โอกาส
- ตลาดบ้านสำหรับผู้สูงอายุมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากโครงสร้างประชากรที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
- การนำเสนอวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยี Smart Home จะช่วยสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์และดึงดูดลูกค้ากลุ่มที่ยินดีจ่ายเพื่อคุณค่าและนวัตกรรม
- ความต้องการบ้านแนวราบในทำเลชานเมืองยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการแพร่ระบาดของโรคและเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนเปลี่ยนใจจากคอนโดมิเนียมในเมืองมาสนใจที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS