{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เปิดแผนธุรกิจปี 2568 ตั้งเป้าหมายยอดขาย (Bookings) 23,000 ล้านบาท และยอดโอนกรรมสิทธิ์ 20,000 ล้านบาท ส่วนรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 9,240 ล้านบาท
นายวัชริน กสิณฤกษ์ กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการบ้านจัดสรร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่เพียง 4 โครงการ มูลค่ารวม 11,180 ล้านบาท ลดลง 64% เมื่อเทียบกับปีก่อน โครงการใหม่ในปีนี้ทั้งหมดจะเป็นโครงการบ้านเดี่ยว ซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 3 โครงการ และภูเก็ต 1 โครงการ โดยจะเป็นโครงการภายใต้แบรนด์บ้านเดี่ยวในระดับราคา 8 – 15 ล้านบาท คือ Siwalee และแบรนด์บ้านเดี่ยวในระดับราคา 30 - 80 ล้านบาท คือ Nantawan และ VIVE ซึ่งจะเป็นการเพิ่มสินค้าในระดับกลาง-บน หรือทดแทนโครงการที่ขายหมดในปีที่ผ่านมา ดังนั้น เมื่อรวมกับโครงการที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน จำนวนโครงการที่ดำเนินการในปี 2568 จะมีทั้งหมด 75 โครงการ มูลค่าประมาณ 93,000 ล้านบาท
โดยเป็นสินค้าแนวราบ 69 โครงการ มูลค่าประมาณ 79,500 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่ากว่า 13,500 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยในปี 2568 ประมาณ 10.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากราคาเฉลี่ยต่อหน่วย 9.8 ล้านบาทในปีก่อนได้เปิดเผยภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ และการดำเนินงานโดยสรุปของบริษัทฯ
ทั้งนี้ในปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์อาจจะได้รับปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตขึ้นประมาณ 2.9% และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มจะลดลง โดยการเติบโตทางเศรษฐกิจคาดว่าจะมาจากการใช้จ่ายของภาครัฐและจากภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้น แต่ภาคการส่งออกยังชะลอตัว ทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ไม่สูงมากนัก นอกจากนี้ ความต้องการซื้อในตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังได้รับแรงกดดันจากยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ที่ปรับสูงขึ้น และระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้สถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ดังนั้น สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญในปีนี้คือ การรักษาสภาพคล่อง และความระมัดระวังในการใช้เงินลงทุนในการพัฒนาโครงการ
นายโชคชัย วลิตวรางค์กูร กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการอาคารชุด กล่าวว่า ภาพตลาดและข้อมูลสินค้าคอนโดมิเนียมของบริษัทฯ ในปี 2568 คาดว่าตลาดคอนโดมิเนียมจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยมีปัจจัยบวกจากจำนวนหน่วยเหลือขายที่ปรับลดลงในปี 2567 และการลดลงของอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม อัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่สูงขึ้น อีกทั้งเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า และมาตรการ LTV ยังเป็นปัจจัยกดดันส่งผลให้ความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมอาจยังไม่แข็งแรงเท่าช่วงก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาด Covid-19
ทั้งนี้ในปี 2567 บริษัทฯ มียอดขายจากสินค้าคอนโดมิเนียมกว่า 3,400 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของยอดขายรวมทั้งหมด โดยหลัก ๆ เป็นยอดขายจากโครงการ วันเวลา ณ เจ้าพระยา ประมาณ 2,500 ล้านบาท โครงการนี้เป็นโครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยา เปิดตัวในช่วงปลายปี 2566 และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ในปีที่ผ่านมาโครงการวันเวลา ณ เจ้าพระยาได้เปิดเฟสใหม่ โดยเปิดขาย Tower C ในช่วงเดือนกันยายน 2567 ปัจจุบันโครงการมียอดขายรวมประมาณ 7,700 ล้านบาท คิดเป็น 52% ของมูลค่าโครงการ การพัฒนาโครงการมีความคืบหน้าประมาณ 20% และคาดว่าจะเริ่มโอนได้ในช่วงปลายปี 2569
ณ สิ้นปี 2567 บริษัทฯ มีสินค้าคอนโดมิเนียมในมือพร้อมขายทั้งหมด 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 13,500 ล้านบาท โดยเป็นโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอน 5 โครงการ มูลค่าประมาณ 6,200 ล้านบาทและโครงการวันเวลาที่อยู่ระหว่างก่อสร้างอีกกว่า 7,300 ล้านบาท ซึ่งในปี 2568 บริษัทฯ จะเน้นการขายสินค้าคอนโดมิเนียมจากโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบัน
นายอาชวิณ อัศวโภคิน รองกรรมการผู้จัดการและผู้บริหารสูงสุดด้านการเงิน กล่าวว่า ในปี 2568 บริษัทเดินหน้าธุรกิจให้เช่าอย่างต่อเนื่อง ลดระดับหนี้สินต่อทุน โดยเตรียมงบลงทุนไว้ทั้งหมดประมาณ 8,500 ล้านบาท ประกอบด้วย
งบสำหรับการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 4,000 ล้านบาท
งบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า 4,500 ล้านบาท
และในปีนี้จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่อีก 1 แห่งในเดือนเมษายนคือ Grande Centre Point Lumphini ซึ่งเป็นอาคารประเภท Mixed Use ประกอบด้วยพื้นที่สำนักงานประมาณ 12,700 ตร.ม. และโรงแรม 512 ห้อง พร้อมทั้งพื้นที่จัดเลี้ยงที่มากที่สุดในเครือโรงแรม Grande Centre Point ตามด้วย Grande Centre Point Ratchadamri2 ในปีหน้า และ Grande Centre Point Pattaya3 ในปีถัดไป
นอกจากนี้บริษัทฯ คาดว่าจะปรับพอร์ตการลงทุนในสหรัฐอเมริกา โดยลดสัดส่วนของอะพาร์ตเมนต์ลงตามสถานการณ์หลังการแพร่ระบาด COVID-19 ที่ส่วนใหญ่ยังคงรูปแบบการทำงานแบบ Work From Home อยู่ และบริษัทฯ จะหันมาเน้นการดำเนินธุรกิจโรงแรมเป็นหลัก
บริษัทฯ มีแผนที่จะออกหุ้นกู้มูลค่า 12,000 ล้านบาท เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนด และคาดว่า ณ สิ้นปี 2568 อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิจะอยู่ในระดับประมาณ 1.0 เท่า ซึ่งลดลงจากสิ้นปี 2567 ผลการดำเนินงานปี 2567 ในด้านฐานะทางการเงิน บริษัทฯ ยังคงมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงจากการบริหารจัดการสภาพคล่องที่ดีและจากสินทรัพย์ลงทุนที่มีอยู่ ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้มูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท อายุ 2-3 ปี โดยมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยอยู่ที่ 3.14% ต่อปี เพื่อใช้หมุนเวียนในการดำเนินงาน ณ สิ้นปี 2567 บริษัทฯ มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิ ประมาณ 67,000 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่ประมาณ 1.3 เท่า และต้นทุนทางการเงินเฉลี่ย 3.11%
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS