แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ตั้งเป้ายอดขายปี 2567 สูง 31,000 ล้านบาท

แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ตั้งเป้าหมายปี 2567 มียอดขาย 31,000 ล้านบาท และเป้าหมายรับรู้รายได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ 28,000 ล้านบาท ส่วนรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 8,540 ล้านบาท

นายวัชริน กสิณฤกษ์ กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า ในปี 2567 บริษัทฯ มีแผนเปิดโครงการใหม่ 11 โครงการ มูลค่ารวม 30,200 ล้านบาท ลดลง 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากในปี 2566 มีการเปิดโครงการคอนโดมิเนียม วันเวลา ณ เจ้าพระยา ซึ่งมีมูลค่า 15,000 ล้านบาท หากเปรียบเทียบเฉพาะโครงการแนวราบ มูลค่าโครงการเปิดใหม่จะเติบโต 6% จากปี 2566

โครงการใหม่เป็นโครงการแนวราบทั้งหมด ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว 11 โครงการ โครงการทาวน์เฮ้าส์ 1 โครงการ (โครงการ Villaggio ลำลูกกา-วงแหวน 1 โครงการ มีทั้งสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์) โดยอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 10 โครงการ และในต่างจังหวัด 1 โครงการ

ดังนั้น จำนวนโครงการที่ดำเนินการในปี 2567 จะมีทั้งหมดประมาณ 84 โครงการ มูลค่า 98,550 ล้านบาท โดยเป็นสินค้าแนวราบ 77 โครงการ มูลค่า 82,550 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่า 16,000 ล้านบาท ประมาณราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยในปี 2567 เท่ากับ 9.4 ล้านบาท (ปี 2566 ราคาเฉลี่ยต่อหน่วย 9.6 ล้านบาท)

ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทฯ เปิดโครงการใหม่ 17 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 43,460 ล้านบาท โดยเป็นสินค้าแนวราบ 16 โครงการ และสินค้าคอนโดมิเนียม 1 โครงการ เพิ่มขึ้น 8,500 ล้านบาทเมื่อเทียบกับมูลค่าโครงการตามแผนเดิม 34,960 ล้านบาท เนื่องจากมีการเปิดโครงการวันเวลา ณ เจ้าพระยา มูลค่า 15,000 ล้านบาท แทนโครงการ The Key ศรีนครินทร์ ซึ่งมีมูลค่า 6,500 ล้านบาท

บริษัทฯ มีการใช้เงินลงทุนซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ประมาณ 6,100 ล้านบาท ณ ต้นปี 2566 บริษัทฯ มีจำนวนโครงการที่เปิดดำเนินการทั้งสิ้น 70 โครงการ เป็นโครงการในกรุงเทพและปริมณฑล 41 โครงการ และในต่างจังหวัด 29 โครงการ โครงการที่เปิดใหม่ 17 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 43,460 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ

16 โครงการ มูลค่า 28,460 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่า 15,000 ล้านบาทรวมโครงการที่ดำเนินการในระหว่างปี 2566 มีจำนวนทั้งหมด 87 โครงการ มีโครงการปิดระหว่างปี 14 [NS1] โครงการ ทำให้ ณ สิ้นปี 2566 มีโครงการที่ยกไปดำเนินการต่อในปี 2567 เป็นจำนวน 73 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 68,350 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ 66 โครงการ มูลค่า 52,350 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่า 16,000 ล้านบาท

นายโชคชัย วลิตวรางค์กูร กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการอาคารชุด กล่าวว่า ในปี 2567 ปัจจัยที่จะส่งผลบวกต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ คือ อัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะมีการทยอยปรับลดในช่วงครึ่งหลังของปี และมาตรการของภาครัฐที่ขยายเวลาการลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนอง ออกไปอีก 1 ปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อคอนโดมิเนียมในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีแบรนด์ The Key เป็นสินค้าคอนโดมิเนียมในระดับราคาดังกล่าว ซึ่งโครงการที่ เปิดขายอยู่ในปัจจุบัน คือ The Key MRT เพชรเกษม 48 เป็นคอนโดมิเนียมทำเลติดรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน

ปัจจุบันบริษัทฯ มีสินค้าคอนโดมิเนียมในมือพร้อมขาย ทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 16,000 ล้านบาท และจะเน้นการขายสินค้าคอนโดมิเนียมจากโครงการที่เปิดขายอยู่แล้วในปัจจุบัน จึงยังไม่มีแผนเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายคอนโดมิเนียมไว้ที่ 5,500 ล้านบาท และยอดโอนที่ 2,000 ล้านบาท

ส่วนภาพรวมตลาดและข้อมูลสินค้าคอนโดมิเนียมของบริษัทปี 2566 ตลาดคอนโดมิเนียมในบางระดับราคา (segment) ฟื้นตัวต่อเนื่องหลังจากสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลายลง และคาดว่าจะดีขึ้นต่อเนื่องในปี 2567 บริษัทฯ พบว่ายังมีความต้องการซื้อสินค้าใน segment ระดับบน และในบางทำเล จึงได้ปรับแผนเปิดโครงการคอนโดมิเนียม โดยเปิดโครงการ วันเวลา ณ เจ้าพระยา เมื่อปลายเดือนตุลาคม แทนโครงการที่ศรีนครินทร์ ตามแผนเดิม เพื่อตอบสนองความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมริมน้ำ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี โดยสร้างยอดขายได้กว่า 5,000 ล้านบาท คิดเป็น 35% ของมูลค่าโครงการ ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท ทำให้ในปี 2566 บริษัทฯ มียอดขายจากสินค้าคอนโดมิเนียมกว่า 6,200 ล้านบาท เติบโต 176% จากปีก่อน คิดเป็น 27% ของยอดขายรวมทั้งหมดของบริษัท

นายวิทย์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการสายงานสนับสนุน กล่าวว่า ในปี 2567 บริษัทมีแผนที่จะออกหุ้นกู้มูลค่า 16,000 ล้านบาท โดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียง 1.0 ซึ่งลดลงจาก ณ สิ้นปี 2566 บริษัทฯ ได้เตรียมงบลงทุนไว้ทั้งหมดประมาณ 11,500 ล้านบาท ประกอบด้วยงบสำหรับการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 5,000 ล้านบาท งบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า 6,500[NS2] ล้านบาท

ปัจจุบัน บริษัทฯ มีโครงการซึ่งก่อให้เกิดรายได้ค่าเช่า ทั้งที่ดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างพัฒนาทั้งหมด 16 โครงการ ดำเนินการโดยบริษัท LHMH 12 โครงการ และบริษัท LH USA 4 โครงการ บริษัทฯ มีแผนที่จะขายศูนย์การค้า 1 แห่งเข้ากองทรัสต์ฯ

สำหรับฐานะการเงินของบริษัทฯ และการดำเนินงานด้านอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ในปี 2566 บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท อายุ 2-3 ปี โดยมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยอยู่ที่ 3.2% ต่อปี ณ สิ้นปี 2566 มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิ อยู่ที่ประมาณ 58,000 ล้านบาท โดยมี อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 1.12 ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ย 2.75%

โดยภาพรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าปี 2566 เป็นปีที่ธุรกิจมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งโดยเฉพาะจากธุรกิจโรงแรมและศูนย์การค้าในประเทศไทย คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 70% และ 100% ตามลำดับจากปีก่อน เนื่องมาจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าของบริษัทฯ โดยตรงบริษัทฯ มีการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าผ่านบริษัท LHMH และ LH USAจำนวน 2,870 [NS3] ล้านบาท ประกอบด้วย พัฒนาโรงแรม Grande Centre Point Surawong 920 ล้านบาท พัฒนาโครงการ Grande Centre Point Lumpini 870 ล้านบาท พัฒนาธุรกิจโรงแรมและอะพาร์ตเมนต์ 1,080 ล้านบาท

นอกจากนี้บริษัท LHMH มีการลงทุนเพิ่มเติมในทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล (LHHOTEL) มูลค่ารวม 1,952 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนการลงทุนในกองทรัสต์เพิ่มขึ้นจากเดิม 14.73% เป็น 26.17%


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment