กรุงศรี JPC/MNC ตอกย้ำจุดแข็งพันธมิตรทางธุรกิจอันดับหนึ่งในตลาดบริษัทญี่ปุ่นในไทย

นายโยชิยูกิ โฮริโอะ ประธานกลุ่มธุรกิจธนกิจพาณิชย์เกี่ยวกับญี่ปุ่น (JPC/MNC Banking) เปิดเผยว่า การดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจ JPC/MNC บนเส้นทางสู่การเป็นพันธมิตรธุรกิจที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้านั้น ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีจากความมุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อสนับสนุนลูกค้าให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ จากความเข้าใจในลูกค้าอย่างลึกซึ้งและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ทำให้กลุ่ม JPC/MNC ไม่เพียงนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่มีคุณค่าที่ตอบสนองความต้องการและตอบโจทย์ตลอดจนแก้ปัญหาทางธุรกิจให้กับลูกค้าได้อย่างครบวงจร แต่ยังสามารถให้บริการคำปรึกษาที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถคว้าโอกาสทางธุรกิจและขับเคลื่อนความเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งในประเทศและในระดับภูมิภาค

โดยกลุ่มธุรกิจ JPC/MNC ของกรุงศรีได้ริเริ่มโครงการส่งเสริมธุรกิจทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับด้านสินทรัพย์และด้านหนี้สิน (Assets and Liabilities) ตลอดจนส่งเสริมโอกาสในการทำธุรกรรมด้านตราสารอนุพันธ์และการปริวรรตเงินตรา รวมทั้งด้านธุรกรรมการค้าและธุรกรรมการเงิน มุ่งเน้นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะเป็นธนาคารผู้ให้บริการหลักของลูกค้า ในขณะเดียวกันเรามีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างกลุ่มธุรกิจต่างๆ ของกรุงศรี ตลอดจนใช้ประโยชน์จากการผสานพลังศักยภาพกับ MUFG และธนาคารพันธมิตรในภูมิภาค โดยมุ่งเน้นการดำเนินงานที่เป็นเลิศ การนำข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และการพัฒนาศักยภาพบุคลากร” นายโฮริโอะกล่าว

ส่วนการแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้นได้ทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้างท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายในการดำเนินธุรกิจอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน กลุ่มธุรกิจ JPC / MNC ได้ยืนหยัดอยู่เคียงข้างลูกค้าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการออกมาตรการให้ความช่วยเหลือหลากหลาย อาทิ การให้วงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนและเสริมสภาพคล่องให้กับลูกค้า รวมทั้งการให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มตลาดและทิศทางอุตสาหกรรมต่างๆ ผ่านการจัดงานสัมมนาออนไลน์ และการสร้างโอกาสการเติบโตใหม่ๆ ให้กับลูกค้าผ่านการจัดกิจกรรมการเจรจาจับคู่ธุรกิจ

จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่เปิดเผยเมื่อเร็ว ๆ นี้ จำนวนโครงการลงทุนที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนและขอรับสิทธิประโยชน์จาก BOI ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 มีจำนวน 754 โครงการ เพิ่มขึ้นถึง 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ประเทศไทยซึ่งเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของการลงทุนของญี่ปุ่น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ ยังคงเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมายการลงทุนที่สำคัญของนักลงทุนญี่ปุ่น ซึ่งยังคงครองอันดับหนึ่งในแง่ของจำนวนเงินลงทุนที่ยื่นขอสิทธิประโยชน์จาก BOI ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment