{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
ธสน.เผยผลงานครึ่งปี63ขาดทุน1.4พันล้านผลจากการตั้งสำรอง 5.4พันล้าน เดินหน้าดูแลผู้ประกอบเต็มที่ ยอมรับเอ็นพีแอลเพิ่มสูงขึ้น วางแผนคุมหนี้ไม่ให้กระทบผลดำเนินงานทั้งปี
นายพิศิษฐ์ เสรีวิวัฒนา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศ (ธสน.) หรือ EXIM BANK เปิดเผยว่า ผลดำเนินงานในครึ่งแรกของปี 2563 EXIM BANK มีกำไรก่อนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและสำรองอื่นเท่ากับ 1,163 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss) ซึ่งเพิ่มขึ้นตามสภาวะเศรษฐกิจภายนอกที่มีความเสี่ยงสูง และการกันสำรองตามเกณฑ์ TFRS 9 ที่เข้มงวดขึ้น ซึ่ง EXIM BANK เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐแห่งแรกที่ถือปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน กลุ่มเครื่องมือทางการเงิน (รวมถึง TFRS 9) ทำให้ธนาคารต้องกันสำรองตามเกณฑ์ TFRS 9 จำนวน 2,908 ล้านบาท บวกกับการกันสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและสำรองอื่นสำหรับงวดครึ่งแรกปี 2563 เท่ากับ 2,579 ล้านบาท รวมเป็น 5,487 ล้านบาท แต่เนื่องจาก EXIM BANK กันสำรองไว้สูงอยู่เดิม ทำให้งวดครึ่งแรกปี 2563 EXIM BANK ขาดทุนสุทธิเพียง 1,416 ล้านบาท
EXIM BANK มีสินเชื่อคงค้าง 126,501 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19,317 ล้านบาท หรือ 18.02% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นสินเชื่อเพื่อการค้า 35,665 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อการลงทุน 90,836 ล้านบาท การปล่อยสินเชื่อของ EXIM BANK ทำให้เกิดปริมาณธุรกิจ (Business Turnover) 85,834 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นปริมาณธุรกิจของ SMEs เท่ากับ 29,227 ล้านบาท หรือคิดเป็น 34.05%
โดย EXIM BANK มีวงเงินสนับสนุนแก่สินเชื่อโครงการระหว่างประเทศรวมทั้งสิ้น 92,891 ล้านบาท เป็นสินเชื่อคงค้างจำนวน 52,915 ล้านบาท จากจำนวนนี้ เป็นสินเชื่อคงค้างให้แก่ผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกและลงทุนใน CLMV จำนวน 33,270 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.38% หรือ 2,854 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่โควิด-19 ทำให้ความเสี่ยงทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 EXIM BANK มีปริมาณธุรกิจด้านการรับประกันการส่งออกและการลงทุนเท่ากับ 90,792 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37,503 ล้านบาทหรือ 70.38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวอีกว่า ในช่วงครึ่งปีแรก EXIM BANK ทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญทางการเงินในการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก โดยพักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยแก่ลูกค้าเป็นระยะเวลา 6 เดือน และออกมาตรการทั้งด้านสินเชื่อและประกันความเสี่ยงให้แก่ลูกค้า ซึ่ง 81% เป็นผู้ส่งออก SMEs ซึ่งมีความสามารถในการต้านทานปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ได้น้อย อาทิ ปริมาณคำสั่งซื้อลดลงจากเศรษฐกิจโลกซบเซา ความเให้สี่ยงที่จะไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้าสูงขึ้น ภาคการผลิตหยุดชะงักจากการที่ซัพพลายเออร์หยุดการผลิตและไม่สามางวัตถุดิบมาได้ ธุรกิจขาดสภาพคล่อง ขณะที่เงินบาทมีทิศทางแข็งค่า ทำให้สูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 EXIM BANK ได้ช่วยเหลือผู้ประกอบการกว่า 4,600 ราย หรือประมาณ 15% ของผู้ส่งออกทั้งประเทศ วงเงินรวมมากกว่า 50,000 ล้านบาท
ซึ่ง EXIM BANK มีการติดตามให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งควบคุมดูแลคุณภาพสินเชื่อของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างใกล้ชิด แต่ด้วยสภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ EXIM BANK มีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (NPL Ratio) เท่ากับ 6.37% ณ 30 มิถุนายน 2563 เทียบกับระดับ 4.60% ณ สิ้นปี 2562 ขณะเดียวกัน EXIM BANK ใช้หลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องในการพิจารณาสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ทำให้อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งที่ 163.89%
อย่างไรก็ตาม EXIM BANK ได้ติดตามลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหา และเป็นการเพิ่มเอ็นพีแอลให้สูงขึ้น ซึ่งลูกค้ามากกว่า 50% ที่ได้รับการช่วยเหลือดูแลจากมาตรการต่างๆ สามารถเอาตัวรอดได้ อีกประมาณ 40% คาดว่าจะสามารถปรับตัวให้อยู่รอดได้ ซึ่งที่เหลือ 10% ต้องยอมรับว่าน่าเป็นห่วง แต่ธนาคารก็พยายามดูแลอย่างเต็มที่ แล้วขณะนี้ EXIM BANK กำลังพิจารณาว่าจะมีการขยายเวลามาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการออกไปอีกหรือไม่ ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะขยายเวลาออกไป เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถประคับประคองธุรกิจให้เดินหน้าต่อไปได้
“วิกฤตโควิด-19 เป็นสัญญาณเตือนภัยครั้งสำคัญว่า ถึงเวลาแล้วที่ธุรกิจไทยต้องพัฒนาและยกระดับห่วงโซ่อุปทานการผลิตครั้งใหญ่ให้สอดรับกับบริบทใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้น ทั้งกระแสการใส่ใจความปลอดภัย สุขภาพ และสิ่งแวดล้อมที่จะมีมากขึ้น ตลอดจนความจำเป็นที่จะต้องเร่งนำเทคโนโลยีมาใช้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า พัฒนาช่องทางการตลาดออนไลน์เพื่อตอบสนองกระแส Social Distancing และพฤติกรรม New Normal ที่เกิดขึ้นทั่วโลก EXIM BANK จึงพร้อมทำหน้าที่เติมเต็มความต้องการของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ด้านเงินทุนและเครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ ที่จะใช้ดำเนินธุรกิจต่อไป รวมทั้งต่อยอดพัฒนากระบวนการผลิตและการบริการ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค เสริมสร้างภูมิต้านทานของธุรกิจไทย รองรับกับวิกฤตอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้” นายพิศิษฐ์กล่าว
COMMENTS
{{ errors.name }}
{{ errors.value }}
{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}
RELATED TOPICS