B คุยพันธมิตรเพิ่มรถหัวลากกว่า100คัน

บี จิสติกส์ ชี้ธุรกิจขนส่งปีนี้มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่น เร่งเจรจาพันธมิตรเพิ่มรถหัวลากกว่า 100 คัน รองรับการใช้บริการขนส่ง เผยลูกค้า”กลุ่มเครื่องดื่ม-ข้าวสาร-อาหารสัตว์”มาแรง ส่วนธุรกิจ”จำหน่ายน้ำดิบ” ยิ่งดี ล่าสุดได้ขยายสัญญาลูกค้าเดิมออกไปอีก 5 ปี แถมจ่อเซ็นสัญญาลูกค้าใหม่จำหน่ายเพิ่มอีก 1.5 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี

ดร.ปัญญา บุญญาภิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทบี จิสติกส์ จำกัด(มหาชน) หรือ B เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทเตรียมเพิ่มรถหัวลากในส่วนของซับคอนแทรคที่เป็นพันธมิตรกว่า 100 คัน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า หลังจากที่บริษัทได้มีการขยายการให้บริการไปในกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม ข้าวสาร และอาหารสัตว์ ที่มีปริมาณความต้องการใช้บริการสูงมาก จากปัจจุบันที่บริษัทมีรถหัวลากจำนวน 66 คัน และซับคอนแทรคที่เป็นพันธมิตรของบริษัทอีก 100 คัน ซึ่งเป็นไปตามทิศทางของธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง

ส่วนสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องนั้น ดร.ปัญญา กล่าวว่า ได้ส่งผลกระทบต่อความต้องใช้บริการขนส่งของลูกค้าเดิมที่มีปริมาณการใช้บริการลดลง แต่บริษัทได้มีการขยายฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นในหลากหลายอุตสาหกรรม ทำให้ภาพรวมปริมาณการใช้บริการขนส่งยังเติบโตสูง ส่วนต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้นนั้นลูกค้าจะเป็นผู้รับภาระอยู่แล้ว

“ปีนี้กลุ่มลูกค้าที่มีการขยายตัวสูงมาก แม้ราคาน้ำมันแพง แต่ B มีฐานลูกฐานค้าเติบโตสูงมาก โดยเฉพาะลูกค้าใหม่ๆ ในกลุ่มอุตสาหกรรม ข้าวสาร อาหารสัตว์ และเครื่องดื่ม ทำให้บริษัทต้องเร่งเจรจาพันธมิตรซับคอนแทรค เพื่อหารถหัวลากเพิ่มขึ้น” ดร.ปัญญา กล่าว

สำหรับธุรกิจจำหน่ายน้ำดิบที่ดำเนินการโดยบริษัทร่วมทุนคือ บริษัทเทพฤทธา จำกัด ภายหลังจากที่ได้มีการซื้อที่ดินเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับแหล่งน้ำ บริษัทได้มีการต่อสัญญาลูกค้ารายเดิมไปอีก 5 ปี ในการจำหน่ายน้ำดิบอีก 1.5 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และล่าสุดบริษัทเตรียมเซ็นสัญญาฉบับใหม่เพื่อที่จะจำหน่ายน้ำดิบให้กับลูกค้ารายใหม่ปริมาณ 1.5 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และเมื่อรวมกับลูกค้ารายอื่นๆ ปีนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถจำหน่ายน้ำดิบได้ประมาณ 5 ล้านลูกบาศก์เมตร จากกำลังผลิตที่สามารถผลิตน้ำดิบได้ประมาณ 5-8 ล้านลูกบาศก์เมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศ นอกจากนี้บริษัทดังกล่าวก็อยู่ในระหว่างศึกษาแผนที่จะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยเบื้องต้นตั้งเป้าหมายว่าจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดได้ภายใน 2-3 ปี

ทั้งนี้แผนการลงทุนของกลุ่ม B ยังเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ที่โฟกัสใน 2 ธุรกิจหลักคือ กลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Green Logistics และธุรกิจสาธารณูปโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือ Green Utilities ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล เนื่องจากบริษัทได้เล็งเห็นถึงการเติบโตของคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการดำเนินธุรกิจและผลการดำเนินงานในอนาคต


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment