KBANKชี้จีดีพีปี63โต2.7%

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจัดงานเสวนาแนวโน้มธุรกิจ ท่ามกลางโจทย์หินปี 2563ปรับลดประมาณการจีดีพีปี 2562 มาอยู่ที่ 2.5% และมองเศรษฐกิจไทยปีหน้าขยายตัว 2.7%

นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2562 ลงจากเดิมที่ 2.8% มาที่ 2.5% เนื่องจากการชะลอตัวของการส่งออกจากผลของสงครามการค้าและเงินบาทที่แข็งค่า รวมถึงการลงทุนโดยรวมที่โตต่ำกว่าประเมิน และยังมีปัจจัยความล่าช้าของการประกาศใช้ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563

สำหรับในปี 2563 คาดการณ์จีดีพีขยายตัวที่ 2.7% (กรอบประมาณการ 2.5%-3.0%) โดยคาดหวังแรงหนุนจากภาครัฐเป็นตัวขับเคลื่อน ด้วยเงื่อนไขสำคัญคือรัฐบาลต้องเร่งผลักดันร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 รวมถึงการเบิกจ่ายงบประมาณ

อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่สถานการณ์ทางการเมือง ส่งผลกระทบให้เกิดความล่าช้าในการผลักดันเม็ดเงินงบประมาณใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และมีผลลบต่อความเชื่อมั่นต่อการลงทุนภาคเอกชน ก็อาจทำให้จีดีพีปีหน้าวิ่งเข้าหากรอบล่างของประมาณการที่ 2.5% หรือต่ำกว่านั้น ในขณะที่ภาคการส่งออกคาดว่าจะหดตัวต่อเนื่อง เพราะตลาดส่งออกหลักยังมีทิศทางชะลอตัว ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนไม่น่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ในอนาคตอันใกล้ และเงินบาทยังคงมีทิศทางแข็งค่า โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้าที่คาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม ซึ่งจะกดดันให้เงินดอลลาร์ฯ ยังอ่อนค่า

สำหรับทิศทางธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไทยปีหน้านั้น คาดว่าจะเผชิญ 4 โจทย์หิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสินเชื่อที่มีข้อจำกัดของการเติบโตตามเศรษฐกิจโดยมองอัตราการเติบโของสินเชื่อเท่าปีก่อนที่ 3.5% เอ็นพีแอลที่มีโอกาสปรับสูงขึ้นจากปี 2562 ค่าธรรมเนียมที่คงขยายตัวในระดับไม่เกิน 1-2% และมีโอกาสได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากนโยบายของทางการ รวมถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลงหรือการส่งสัญญาณของทางการที่ต้องการให้ธนาคารพาณิชย์ช่วยเหลือลูกค้า อันจะกระทบรูปแบบการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้-เงินฝาก จนมีผลกดดันส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM)

ด้านนางสาว เกวลิน หวังพิชญสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ธุรกิจอื่นๆ นอกจากธนาคารก็ประสบกับโจทย์ยากเช่นกันในปี 2563 ไม่ว่าจะเป็นเงินบาทมีค่าเฉลี่ยรายปีที่แข็งค่ากว่าในปี 2562 นั้น นอกจากจะกระทบภาคส่งออกแล้ว จะส่งผลตามมาให้ภาคการผลิตหดตัวหรือลดกำลังการผลิตลง จนกระทบการจ้างงาน ในเบื้องต้นประมาณว่าการจ้างงานในภาคการผลิตจะได้รับผลกระทบเพิ่มเติมอีกกว่า 3 หมื่นตำแหน่ง จากปี 2562 ที่หายไปใกล้แสนตำแหน่ง ส่วนภัยแล้งในปี 2563 ที่คาดว่าจะมีภาวะแล้งรุนแรงกว่าปี 2562 เพราะเริ่มต้นปีด้วยปริมาณน้ำในเขื่อนต่างๆ ที่น้อยกว่าเดิมมากนั้น จะกระทบปริมาณผลผลิต มีผลให้จีดีพีภาคเกษตรและรายได้เกษตรกรมีโอกาสหดตัว ส่วนจะเข้าใกล้ภาวะแล้งเป็นประวัติการณ์ดังเช่นที่เกิดในปี 2558-2559 นั้นหรือไม่ คงเป็นประเด็นติดตามซึ่งไม่เกิน 3-4 เดือนแรกของปี 2563 ก็คงมีความชัดเจนขึ้นแล้วว่าจะมีภาวะฝนทิ้งช่วงเข้ามาซ้ำเติมหรือไม่

สำหรับประเด็นการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำล่าสุดนั้น แม้ว่าผลกระทบต่อเงินเฟ้อในปี 2563 จะจำกัด แต่ก็จะเพิ่มโจทย์ยากให้กับธุรกิจ โดยค่าแรงที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 5 บาทจากเดิม จะมีผลเพิ่มต้นทุนแรงงานเฉลี่ยอีก 0.3% ขณะที่ ธุรกิจเกษตร จะเป็นกลุ่มที่เผชิญผลกระทบทั้งค่าเงินบาทแข็ง ภัยแล้ง และค่าแรงพร้อมๆ กัน ซึ่งทำให้ภาครัฐอาจต้องเตรียมนโยบายเฉพาะด้านเพื่อดูแลกลุ่มนี้ ขณะที่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะยังไม่ฟื้นตัวเพราะปัญหาที่อยู่อาศัยค้างขายสะสมที่ยังมีอยู่อีกราว 200,000 หน่วยนั้น มีขนาดใหญ่เกินกว่าจะสามารถเคลียร์ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น

ทั้งนี้ธุรกิจที่ยังไปได้ คงเป็นธุรกิจท่องเที่ยว ที่แม้จะเห็นอัตราการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะชะลอลงมาที่ประมาณ 2-3% จากที่ประมาณการไว้ว่าจะขยายตัวประมาณ 4% ในปี 2562 แต่ก็ยังมีตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สร้างโอกาสทางธุรกิจได้ ทั้งนักท่องเที่ยวจีน อาเซียน และอินเดีย รวมถึงตลาดไทยเที่ยวไทย ซึ่งภาครัฐสามารถส่งเสริมหรือออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเพื่อเป็นหนึ่งในเครื่องมือหนุนเศรษฐกิจไทยปีหน้าได้ เพราะมีสัดส่วนต่อจีดีพีรวมถึง 18%


COMMENTS

{{ errors.name }}

{{ errors.value }}

{{c.name}} {{moment(c.created_at,"YYYY-MM-DD HH:mm:ss").toNow()}}
{{c.value}}

RELATED TOPICS

Please wait a moment